ทั้งไทยและพม่าต่างก็มีลักษณะร่วมกันในทางวัฒนธรรมอยู่หลายๆอย่าง และหนึ่งในวัฒนธรรมนั้นก็คือความเชื่อถือในเรื่องความเป็นมงคลของพืชและพันธุ์ไม้บางชนิด
กิ่งหว้า :
สัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความสำเร็จของชาวพม่า
ทั้งไทยและพม่าต่างก็มีลักษณะร่วมกันในทางวัฒนธรรมอยู่หลายๆอย่าง
และหนึ่งในวัฒนธรรมนั้นก็คือความเชื่อถือในเรื่องความเป็นมงคลของพืชและพันธุ์ไม้บางชนิด
ทั้งที่เชื่อในฐานะของพืชซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์
มีฤทธิ์ดลบันดาลให้ได้รับความสุขสมหวังทั้งในทางเมตตามหานิยม ลาภ ยศ
และทรัพย์ หากได้รับการดูและบูชาอย่างถูกต้อง
และการเชื่อถือในฐานะของพืชมงคลอันเป็นสัญลักษณ์ของความพูนสุข
รุ่งเรืองและบริบูรณ์
ในสังคมพม่าไม้หว้าได้ถูกกำหนดให้เป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของสังคมชาวพุทธแบบพม่าเสมอมา
หว้า จัดเป็นไม้วงศ์เดียวกันกับชมพู่ ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า
“Eugenia Tree” ตะบเยบิ่ง(lgexx'N)
คือต้นหว้าที่ชาวพม่าต่างก็รู้จักกันดีในฐานะของ
เซ้วา(gCt;jt)หรือพืชสมุนไพรที่น้ำสะกัดจากผลสุกสีม่วงคล้ำ
มีรสหวานปนฝาด มีสรรพคุณในการแก้อาการท้องเสีย
น้ำจากใบสดมีสรรพคุณในรักษาบาดแผลจากพิษแมลงสัตว์กัดต่อย
ส่วนน้ำจากใบอ่อนใช้อมรักษาตุ่มแผลพุพองในปากซึ่งเกิดจากอาการร้อนใน
ในประเทศพม่าแบ่งชนิดของหว้าออกเป็น๔ชนิดได้แก่๑.หว้ากษัตริย์(ตะบเยมิง
lgex,'Nt)หรือ ยาซะซะบู ik==,¾&)ในภาษาบาลี
หว้าชนิดนี้มีผลใหญ่ที่สุดในบรรดาหว้าทั้งสี่ชนิดของพม่า ๒.หว้ากา
(จีตะบเย dyutlgex)หรือ ซะบู =,¾&) ในภาษาบาลี
หว้าชนิดนี้มีผลและใบขนาดกลาง ๓.หว้าป่า (ตอตะบเย g9klgex)หรือ
วนะซะบู (;o=,¾&) ในภาษาบาลีหว้าชนิดนี้ให้ผลขนาดเล็กและ
๔.หว้าดิน (มเยตะบเย ge,lgex) หรือภูมิซะบู(4^,b=,¾&) ในภาษาบาลี
หว้าชนิดนี้มีผลขนาดเล็กที่สุดในบรรดาหว้าทั้งสี่ชนิดของพม่า
ในฐานะของพืชมงคล
ชาวพม่าถือว่าใบอ่อนของต้นหว้าซึ่งมีสีออกแดงเรื่อๆนี่แหละที่เป็นส่วนของดอกหว้า
ที่ชาวพม่าเรียกกันว่า ตะบเยปั๊น(lgexxoNt)
ตะบเยปั๊นจัดเป็นดอกไม้มงคล หรือ
มิงกลาปั๊น(,8§]kxoNt)ชนิดหนึ่งของชาวพม่าที่มักจะถูกนำมาใช้เป็น
ดอกไม้บูชาพระ หรือ พยาปั๊น(46iktxoNt)
ซึ่งปักบูชาอยู่ในแจกันบนหิ้งพระหิ้งผีหรือศาสนสถานที่เนื่องด้วยพุทธศาสนาอยู่เสมอ
สังเกตง่ายๆถ้าใครเคยไปเที่ยวพม่าก็จะได้พบเห็นว่า
ตามศาสนสถานหรือปูชนียสถานต่างๆไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร
ลานเจดีย์ ไปจนกระทั่ง ศาลผีนัตประจำวัด ประจำหมูบ้าน
เรื่อยลงไปจนถึงหิ้งพระหรือหิ้งผีที่ประดิษฐานอยู่ภายในตัวอาคารบ้านเรือนตลอดจนที่พักอาศัย
ก็มักจะพบกับช่อดอกหว้าสีแดงเรื่อๆอมชมพูแซมเขียวประดับเด่นอยู่ร่วมกับบรรดาดอกไม้ใบไม้หลากสีต่างพรรณ
หรือไม่ก็ปักร่วมอยู่กับพวกช่อที่ประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษหลากสี เช่น
ร่มเงินร่มทอง (งเวที g':5ut ชเวที gU5ut) ตุงไส้หมู (กุกก่า
d6d¡kt) ธงสามเหลี่ยม (แจ๊ะก์ชยา EddN]Yk) และพัด (ยต่อง pxNg9k'N)
เป็นต้น
กิ่งหว้ากับพืชพรรณไม้และสิ่งประดิษฐ์เหล่านี้จัดเป็นเครื่องมงคลบูชาที่เราจะพบเห็นกันได้ในสังคมพม่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ในงานเฉลิมฉลองต่างๆที่เป็นมงคล อย่างที่เรียกกันว่า
มิงกลาบแว(,8§]kx:c)
ช่อดอกหว้าจะต้องถูกดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในความเป็นมงคลของงานเหล่านั้นอยู่เสมอ
ตั้งแต่งานปีใหม่ งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานเปิดการประชุม
งานวางศิลาฤกษ์ งานฉลองรถใหม่
หรือแม้แต่งานออกศึกออกสงคราม งานเดินพลสวนสนาม
งานฉลองชัยชนะและความสำเร็จ
ช่อดอกหว้าอ่อนจะต้องถูกนำมาประดับประดาในบริเวณงานด้วยรูปแบบที่หลากหลายตั้งแต่
ปักไว้ในแจกัน ผูกมัดติดไว้กับเสาประตูบ้าน ประตูหน้าบ้าน
หรือเสาปะรำพิธี จนกระทั่งถือเข้าไปร่วมในขบวนแห่
หรือผูกไว้ที่หน้ารถขบวน เป็นต้น
ด้วยบทบาทของดอกหว้าที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมต่อการเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงอันเป็นมงคลของชาวพม่าอยู่ทุกๆงานเช่นนี้เอง
สมญานาม “อ่องตะบเยปั๊น” (gvk'NlgexxoNt) หรือ
“ดอกหว้าแห่งความสำเร็จและชัยชนะ”
จึงได้กลายมาเป็นมงคลนามของต้นหว้าและดอกหว้าไปโดยปริยายจากบริบทในทางวัฒนธรรม
ทำไมต้นหว้าจึงได้ถูกกำหนดให้กลายมาเป็นไม้มงคลในวัฒนธรรมพม่า?
ความเป็นมงคลของต้นหว้าน่าจะสืบเนื่องมาจากการเป็นพรรณไม้ที่ได้มีการกล่าวไว้ในตำนานทางพระพุทธศาสนาอยู่หลายแห่ง
นับตั้งแต่ดินแดนชมพูทวีปซึ่งเป็นแดนเกิดแห่งพระพุทธศาสนา ชมพูทวีป
ในภาษาไทย หรือ ซะบูดีบา(=,¾&muxj)
ซะบูดีบาในภาษาพม่านั้นมาจากภาษาบาลี ซึ่งแปลว่า “ดินแดนแห่งต้นหว้า”
ก็แผ่นดินแห่งต้นชมพูหรือต้นหว้านี้เองที่คัมภีร์ในพระพุทธศาสนาหลายๆเล่มล้วนกล่าวไว้ตรงกันว่าเป็นแดนเกิดของเหล่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งในอดีต
ปัจจุบัน
และอนาคตที่จะได้ทรงใช้เป็นที่อุบัติขึ้นเพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ให้พ้นจากห้วงแห่งทุกข์
ในพุทธประวัติตอนหนึ่งได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้นหว้ากับเจ้าชายสิทธัตถะไว้ว่า
ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงเป็นพระราชกุมารนั้น
พระองค์ได้ทรงร่วมเสด็จไปในงานแรกนาขวัญกับพระราชบิดา
ขณะที่พระราชบิดาได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงไปในท้องนาหลวงเพื่อประกอบพีธีไถนั้น
พระราชกุมารกลับทรงปลีกพระองค์เองออกไปนั่งสมาธิอยู่ภายใต้ร่มไม้หว้าเพียงพระองค์เดียว
ในขณะนั้นร่มเงาแห่งไม้หว้าก็ได้ค่อยๆคล้อยลงมาปกป้องพระวรกายของพระกุมารไว้มิให้ต้องกับแสงพระอาทิตย์เป็นอัศจรรย์
การเข้าไปนั่งใต้ร่มไม้หว้าในครั้งนั้นของพระราชกุมารได้กลายเป็นจุดกำเนิดเล็กๆที่มีความสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ต่อการถือกำเนิดขึ้นของพระพุทธศาสนาในกาลต่อมา
เพราะนั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเจ้าชายสิทธัตถะที่ได้ทรงสัมผัสกับความสงบทางจิตจากการเจริญสมาธิในแบบอานาปานสติก่อนที่จะได้ทรงบรรลุความเป็นพุทธะในอีกกว่า
๓๐ ปีต่อมา
ดังนั้นดินแดนแห่งต้นหว้าในชมพูทวีปจึงนับเป็นแดนแห่งมงคลอันประเสริฐของเหล่าพุทธศาสนิกชน
และต้นหว้าในทรรศนะของพุทธศาสนิกชนชาวพม่าจึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งของความเป็นมงคลอันเนื่องด้วยแผ่นดินอันเป็นแดนกำเนิดของพระพุทธศาสนาและพระบรมศาสดา
ต้นหว้าในวัฒนธรรมของชาวพม่าจึงได้ถูกกำหนดให้เป็นไม้มงคลในเรื่องความสำเร็จและชัยชนะ“ต้นหว้าแห่งความสำเร็จหรือชัยชนะ”
หรือ อ่องตะบเยบิ่ง(gvk'Nlgexx'N)
จึงเป็นนามมงคลอีกหนึ่งที่ชาวพม่ามีให้แก่ต้นหว้า
ในตำนานประวัติศาสตร์การดนตรีของพม่าได้กล่าวถึงต้นหว้าในฐานะของไม้ผลซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของเสียงกลองชนิดหนึ่งในวงปี่พาทย์ของพม่า
ในตำนานได้กล่าวถึงกษัตริย์ในสมัยอาณาจักรพุกามนามว่า
พระเจ้าอลองสีตู(vg]k'Nt0PNl^)
ที่ได้เคยเสด็จท่องเที่ยวไปยังเกาะทิศใต้แห่งชมพูทวีปจนถึงชายขอบทางตอนเหนือโดยทางเรือ
ในเวลานั้นลูกหว้าสุกจากต้นได้ร่วงหล่นลงสู่ท้องน้ำในมหาสมุทร
ส่งเสียงดัง ตุ๊บตั๊บ ๆๆ อยู่ทั่วไป
ด้วยเสียงตกแห่งลูกหว้ากระทบยังพื้นน้ำนั้น
พระเจ้าแผ่นดินจึงได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นเป็นท่วงทำนองแห่งเสียงกลอง
บยอ(gerk) ด้วยพระปัญญาญาณและพระอุตสาหะแห่งพระองค์
จนได้กลายมาเป็นแบบแผนสำหรับการบรรเลงกลอง บยอ
ของพม่าสืบต่อกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้
สิ่นเบดา(0boNgrmj) ผู้ได้รับพระราชทานส่วยบ้าน ในบรรดาศักดิ์ที่
เนมโยบะละจ่อตู(go,y7btr]gdykNl^)เจ้าพนักงานชาวดนตรีชื่อก้องแห่งราชสำนักพม่าในสมัยปลายราชวงศ์คองบอง(ยะตะนาโบง)
ได้ร้อยเรียงบทกลอนแห่งต้นหว้าขึ้นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่มาแห่งการบรรเลงกลอง
บยอไว้ว่า
“เกาะชมพูทีป,จากขอบทิศเหนือ,รอบต้นสูงลิ่ว,ซึ่งหว้าสูง,ฤดูลมไหวสะบัด,ลูกร่วงหล่น,จมสู่สมุทร,เป็นเทพดนตรี,ยังลูกกลอง,สมมุติดั่ง,ทองเก่าอร่ามเหลือง,ซึ่งเสียงขั้วอันอ่อนช้อย,มังกรร่ายรำตาม,รับประโยชน์ใช้”
จวบจนช่วงสมัยปลายอาณานิคม
วรรณกรรมต่างๆได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุกเร้ากระแสชาตินิยมให้เกิดขึ้นในพม่า
ดอกหว้าก็ยังได้ถูกตีความและให้ความหมายโดยพวกปัญญาชนให้เข้าไปมีส่วนร่วมอยู่ในกระบวนการต่อสู้ทางเชื้อชาติระหว่างชาวพม่ากับจักรวรรดินิยมอังกฤษ
บทเพลงชื่ออ่องตะบเย (gvk'Nlgex) หรือเพลง ต้นหว้าแห่งความสำเร็จ
ที่ร้อยเรียงขึ้นโดย อาจารย์ ชเวไตง์โญ่น(gU96b'NP:oNh)
ได้กล่าวถึงคำอธิษฐานหรือคำอวยพรเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จของชาติต่อเอกราช
และความเชื่อมั่นในมงคลของดอกหว้าในฐานะต้นไม้แห่งความสำเร็จและชัยชนะของชาติ
ดังข้อความที่ว่า “ขอให้สำเร็จเถิด
ด้วยดอกหว้าซึ่งราดรดด้วยน้ำอันฉ่ำเย็น”
นี่คือนัยยะแห่งความผูกพันระหว่างชาวพม่าและไม้หว้าไม้สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ
ชัยชนะและความเป็นมงคลของชาติและของวัฒนธรรมพม่า
ที่ได้ถูกบันทึกและระลึกถึงอยู่เสมอในประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่ออิสรภาพและจิตวิญญาณชาตินิยมของชาวพม่าเสมอมา
สิทธิพร
เนตรนิยม
เก็บความและเรียบเรียงจาก
e,9NO6bt0ik 96bh96b'Nti'Ntlkt v,a9Nlgd§9,ykt
เขียนโดย lboNtsoN