สหภาพพม่าในยุคอาณานิคม ไม่เพียงแต่สูญเสียเอกราชทางการปกครองแก่อังกฤษ หากชาวพม่ายังสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชนต่างชาติไปเกือบสิ้น
เศรษฐกิจพม่าต้องอยู่ในมือของชาติและประชาชน
สหภาพพม่าในยุคอาณานิคม
ไม่เพียงแต่สูญเสียเอกราชทางการปกครองแก่อังกฤษ
หากชาวพม่ายังสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชนต่างชาติไปเกือบสิ้น
พม่าจึงรู้ซึ้งถึงผลร้ายดังกล่าว
และจดจำสภาพที่ถูกกอบโกยผลประโยชน์ในแผ่นดินตนโดยชนต่างชาติ
พอถึงยุคปัจจุบัน
แม้พม่าจะยอมรับระบบการค้าการลงทุนแบบกลไกตลาดแทนระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดแล้วก็ตาม
แต่ความกลัวว่าชาวพม่าจะสูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจอีกครั้งกลับยังคงอยู่
และมองว่าต่างชาติอาจใช้แนวทางการค้าเสรีลวงชาติเล็กๆให้ตกเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจในที่สุด
ความกังวลดังกล่าวของรัฐบาลพม่าน่าจะมีอยู่จริง ดังที่ โกงลีงจ่อ
นักเขียนในสายรัฐบาล เขียนวิจารณ์เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมพม่า
ไว้ในหนังสือปกเขียว เรื่อง 0boNe,i"e-pN ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ.
๑๙๙๖
โกงลีงจ่อ เป็นนายทหารผู้หนึ่งของกองทัพพม่า
และเคยปฏิบัติงานในพื้นที่ชนบทมานาน
เขาเริ่มชีวิตนักเขียนตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายทหารที่มหาวิทยาลัยการศึก
โดยเริ่มงานเขียนตั้งแต่ ปี ค.ศ. ๑๙๗๖
ด้วยความสามารถทางการเขียนของเขาที่เน้นความรักชาติและสนับสนุนการพัฒนาประเทศด้วยระบบการปกครองแบบทหาร
เขาจึงได้รับรางวัลดีเด่นของวรรณกรรมเมียวดี
และรางวัลวรรณกรรมสำหรับวันกองทัพพม่า ประจำปี ค.ศ. ๑๙๙๑
แนวการเขียนของโกงลีงจ่อจะเป็นเรื่องหน้าที่พลเมืองและเทิดเกียรติกองทัพ
อีกทั้งสนับสนุนการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ในแนวทางของรัฐบาลทหาร
พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนเห็นพ้องและให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างมิต้องกังขา
โกงลีงจ่อกล่าวว่า การที่สหภาพพม่าจะมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมืองได้นั้น ชนทุกเผ่าพันธุ์ในสหภาพพม่าอันได้แก่ กะฉิ่น กะยา
กะเหรี่ยง พม่า มอญ ยะไข่ ฉาน ปะโอ ปะหล่อง ว้า ฯลฯ
ควรจะลงรอยกันในทัศนะและนิสัย ดุจสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน
และรักแผ่นดินเมียนมาอย่างจริงใจ
อีกทั้งชนทุกเผ่าพันธุ์จะต้องไม่บิดบังความเป็นเมียนมา
หากต้องภาคภูมิใจที่จะประกาศตนต่อชาวโลกว่า “ข้าคือเมียนมา”
โกงลีงจ่อยังได้ยกคำกล่าวของนายพลอองซาน บิดาแห่งเอกราชของพม่า
ที่กล่าวถึงการปรองดองของชนชาติต่างๆในสหภาพพม่าไว้ว่า
“ชนชาติต่างๆนั้น ต่างย่อมร่วมรู้สุขและทุกข์
และหากยิ่งเอื้อประโยชน์ต่อกันอย่างใกล้ชิด
นานไปก็ย่อมกลายเป็นชนกลุ่มเดียวที่มีจิตใจเป็นหนึ่ง
ศาสนาที่ต่างนับถือกันมาตามพงศ์พันธุ์ และภาษาที่พูดต่างกันนั้น
แม้จะต้องให้ความสำคัญอยู่ก็ตาม แต่ที่จริงแล้ว
ทุกคนต่างจะต้องอยู่ร่วมร้อนร่วมหนาว (gvtv9^x^v,Y)
และรู้สึกร่วมทั้งดีและร้าย (gdk'Ntv9^C6btzdN)
หากยึดฉันทะนี้โดยสืบเนื่อง ก็จะสร้างสำนึกร่วมต่อความรักชาติ
(;"lkO6idb¢9) ขึ้นได้ ”
โกงลีงจ่อยังปรารถนาให้ชาวเมียนมาทุกคนมีความผูกพันต่อเจดีย์ขาวที่เด่นสง่าบนเขาเขียว
สายน้ำอิระวดีที่ไหลเอื่อยและใสสะอาด
พอใจเกี่ยวกายด้วยโสร่งกับผ้าซิ่น และไม่ทอดทิ้งกะปิปลาร้า
ตลอดจนหวนถวิลกลิ่นรวงข้าวปลายเคียว ทั้งมิลืมกลิ่นไอดินกับรสสะเดา
ดังนั้นประชาชนเมียนมาทุกเชื้อชาติจะต้องยึดมั่นในเอกลักษณ์แห่งความเป็นสหภาพร่วมกัน
โดยทุกคนต้องมี “จิตใจแห่งสหภาพ” และ “ผูกพันในแผ่นดินเมียนมา”
โกงลีงจ่อยังขอให้ชาวพม่ายึดคติชาตินิยมดังที่เคยใช้เป็นพลังต่อต้านอิทธิพลต่างชาติ
เขากล่าวว่า ชาวเมียนมาจะต้องระวังรักษาสัจจะต่อเผ่าพันธุ์
เพราะคติพม่าที่ว่า “ไม่ปนสายเลือดกับชนต่างชาติ”
กำลังถูกละเลยโดยคนรุ่นใหม่
ในอดีตแทบไม่ได้ยินข่าวเรื่องผู้หญิงพม่าแต่งงานกับชาวต่างชาติ
แต่พอปัจจุบันกลับเริ่มมีการประกาศแต่งงานกับชนต่างชาติทางหนังสือพิมพ์กันบ้างแล้ว
โกงลีงจ่ออ้างว่าเคยพบหมู่บ้านที่สูญเผ่าพันธุ์เพราะแต่งงานกับชนชาติอื่น
ซึ่งน่าจะเป็นในพื้นที่ที่ติดกับบังคลาเทศ อินเดีย และจีน
โกงลีงจ่อกลัวราวกับว่าเมื่อชาวพม่าถูกกลืนทางสายเลือด
ทรัพยากรในชาติก็จะถูกกลืนตาม
เขาได้ยกเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่แต่งเพื่อต่อต้านกองทัพฟาสซิสต์ญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่
๒ ว่า “เอาทองไป เอาคนไป แล้วก็สูญเผ่าพันธุ์
น่าหวั่นกลัว…” เนื้อเพลงยังสอดคล้องกับคำกล่าวของคนรุ่นก่อน ที่ว่า
“กลืนแผ่นดิน ยังไม่สิ้นชาติ แต่สูญชาติ เพราะกลืนคน”
หรือคำกล่าวของอูเผ่หม่องตี่ง(Ftgzg,k'N9'N)นักวิชาการ
ทางภาษาและวรรณคดีพม่าในยุคอาณานิคมที่ว่า“หากขาดวรรณศิลป์ ก็สิ้นชาติ
หากสูญชนชาติ ก็สิ้นแผ่นดิน”
โกงลีงจ่อพยายามยกถ้อยคำเก่าๆมาสะกิดใจให้ชาวพม่ามี
“จิตใจรักเผ่าพันธุ์” และหวงแหนสายเลือดเพื่อความอยู่รอดของชาติ
เขาคาดหวังว่าจิตใจแห่งเอกภาพ
รวมถึงความรักในเผ่าพันธุ์และแผ่นดินของชาวเมียนมาโดยรวม
จะมีความหมายต่อการรักษาเศรษฐกิจในระบบตลาดเปิดไว้ในมือของคนร่วมชาติ
เพื่อระลึกถึงคราวที่คนพม่าเคยเสียเปรียบชนชาติอื่น
โกงลีงจ่อจึงได้ย้อนถึงบทเรียนในอดีตที่ชาวพม่าท้องถิ่นสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนต่างด้าว
เขากล่าวเปรียบเทียบคนพม่ากับคนต่างด้าวที่มาอยู่ในพม่าโดยเฉพาะแขกและจีนว่า
แขกกับจีนเข้ามาอาศัยในแผ่นดินพม่าในยุคอาณานิคม
โดยมีเพียงผ้าโจงกระเบน (m6b9u) หรือกางเกง (g4k'Nt4u)
ติดตัวมาคนละผืน แต่กลับหากินจากการเก็บดอกผลในแผ่นดินพม่าจนร่ำรวย
ผิดกับคนพม่าที่ลงดาบทำกินในแผ่นดินนี้มาเนิ่นนาน
แต่ส่วนใหญ่กลับยังยากจน
ในปัจจุบันคนต่างด้าวสามารถครอบครองธุรกิจการค้าสำคัญหลายประเภท อาทิ
สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ร้านอาหาร ร้านทอง ร้านขายส่งสินค้า
สภาพเช่นนี้พบเห็นได้ตั้งแต่ในพื้นที่ชนบทเรื่อยมาจนถึงเมืองย่างกุ้ง
ส่วนคนพม่านั้นดูต่ำต้อยและทำงานเป็นเพียงลูกจ้างหรือคนใช้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องเพราะ ในขณะที่พวกแขกทำมาค้าขายจิปาถะ อาทิ
ขายหมาก ค้าเศษเหล็ก เก็บถุงพลาสติกเก่าขายนั้น
คนท้องถิ่นกลับมัวรังเกียจงานดังกล่าว
โกงลีงจ่อเสนอว่าชาวพม่าควรต้องเอาแบบอย่างการทำมาหากินเยี่ยงคนต่างด้าว
มิเช่นนั้นคนท้องถิ่นก็ไม่อาจมีโอกาสได้เปรียบทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามเขากล่าวเตือนไว้ว่า
การต่อสู้กันทางเศรษฐกิจนั้นไม่จำเป็นต้องปลุกระดมให้ชาวพม่าท้องถิ่นประหัตประหารผู้อื่นที่ไม่ใช่คนพื้นเมือง
เหตุการณ์ทำนองนี้เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของนายพลเนวินเมื่อ ๓๐
กว่าปีก่อน
โดยฝ่ายรัฐได้ยึดกิจการของคนต่างด้าวทั้งหมดมาเป็นของรัฐ
พร้อมกับขับต่างชาติออกนอกประเทศ
แต่เมื่อพิจารณาจากวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวพม่า
โกงลีงจ่อได้ตำหนิชาวพม่าไว้มากว่า
ชาวพม่าง่ายที่จะตื่นตัวแค่ราวไฟไหม้ฟาง แต่ขาดวิริยะ
และชอบทำตัวเกียจคร้าน หากเปรียบกับครอบครัวของคนต่างด้าวแล้ว
ทุกคนในครอบครัวชอบที่จะช่วยเหลือกันทำมาหากิน
ระหว่างญาติก็จุนเจือด้วยการให้กู้ยืมกันแล้วใช้คืน ส่วนชาวพม่านั้น
มีไม่น้อยที่คนเพียงคนเดียวต้องหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว
และส่วนใหญ่ยังทำงานแบบหาเช้ากินค่ำ และไม่เพียงแค่นั้น
ชาวพม่ายังนิยมชมชอบสินค้าต่างชาติ แม้แต่พุทรากวน
ก็ชอบชนิดที่ติดยี่ห้อโยดะยา(ไทย)
ทั้งที่พุทราเหล่านั้นก็ปลูกกันในพม่า!
โกงลีงจ่อเสนอว่าชาวพม่าอาจต้องเอาอย่างเกาหลีในความรักชาติด้วยการรวมพลังต่อต้านสินค้าต่างชาติ
เขากล่าวว่าคนเกาหลีไม่กล้าขับรถที่ผลิตจากนอก
เพราะกลัวถูกผู้รักชาติทุบกระจก เจาะยาง หรือขูดข่วนรถ
หรือกรณีชาวอินเดียและบังคลาเทศที่ออกไปหากินที่ต่างประเทศ
มักจะเก็บเงินสะสมไว้ แล้วส่งกลับประเทศตน
โกงลีงจ่อยุให้ชาวพม่ามองหาแบบอย่างการทำมาหากินจากคนต่างด้าว คือ
แขกกับจีน ที่สามารถยึดครองธุรกิจสำคัญของพม่าไว้ได้
และยังชี้ให้เห็นแบบอย่างความรักชาติอย่างเกาหลี อินเดีย และบังคลาเทศ
อีกด้วย
ในส่วนการดำเนินงานของภาครัฐนั้น
โกงลีงจ่อกล่าวยกย่องรัฐบาลทหารของพม่าไว้ว่า
รัฐบาลได้แสดงเจตจำนงไว้ชัดเจนต่อโอกาสทางเศรษฐกิจของประชาชน
โดยประกาศนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจไว้ข้อหนึ่ง คือ
“อำนาจทางเศรษฐกิจทั้งปวงในประเทศ
จะต้องตกอยู่ในมือของชาติและประชาชน”
อีกทั้งยังได้สร้างคำขวัญชี้ชวนให้คนพม่า “อุดหนุนสินค้าในประเทศ”
(exPN9:'Ntez0Nd6bvktgxtxj) นอกจากนี้รัฐบาลพม่ายังได้เร่งสร้างถนน
สะพาน เขื่อน และฝาย เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในระยะสิบปีที่ผ่านมา
เพื่อเป็นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
โกงลีงจ่อกล่าวว่าการพัฒนาประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อชาติกลับถูกให้ร้ายจากฝ่ายต่อต้านว่าใช้แรงงานประชาชนอย่างกดขี่
ที่จริงฝ่ายรัฐมองว่าประชาชนคือ “ข้าแผ่นดิน” มิใช่
“สมุนรับใช้ต่างชาติ” โกงลีงจ่อยังเตือนว่า แม้ประเทศจะมีเอกราชก็ตาม
หากเศรษฐกิจของชาติยังต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอดนั้น
พม่าก็ไม่อาจงอกเงยเปรียบเหมือน “ถั่วลิสงที่เมล็ดลีบ”
ชาวพม่าก็จะเป็น “คนท้องหิวที่ยากบำเพ็ญธรรม” หรือ อาจ
“เสียสัจด้วยขัดสน”
โกงลีงจ่อ เป็นนายทหารผู้รักชาติ เขาพยายามชี้จุดอ่อนของชาวพม่า
และหาทางออกด้วยการเรียกร้องให้ชาวพม่าได้ฉุกคิดถึงสภาพที่เป็นอยู่
โกงลีงจ่อหวังว่าประเทศสหภาพพม่า
ซึ่งเคยต่อสู้เพื่อเอกราชมาด้วยพลังแห่งกองทัพและประชาชน
จะไม่ตกเป็นทาสทางเศรษฐกิจของต่างชาติ
จนต้องเสียอธิปไตยเหมือนครั้งอดีต
วิรัช
นิยมธรรม