ในเดือนพฤศจิกายน หรือ เดือนดะส่องโมง(9oNgCk'N,6oNt) เป็นเดือนหลังออกพรรษา สำหรับชาวพม่าแล้วเดือนนี้ถือเป็นช่วงฤดูกาลของการถวายผ้าจีวรของชาวพุทธพม่า ชาวพม่าจะจัดงานถวายจีวรในงานพีธีต่างๆ เช่น งานจีวรกฐิน งานจีวรจุลกฐิน งานจีวรบังสุกุล และ งานจีวรใยบัว
ผ้าใยบัว :
งานทอท้องถิ่นจากทะเลสาบอีงเลสู่ตลาดต่างประเทศ
ในเดือนพฤศจิกายน หรือ
เดือนดะส่องโมง(9oNgCk'N,6oNt) เป็นเดือนหลังออกพรรษา
สำหรับชาวพม่าแล้วเดือนนี้ถือเป็นช่วงฤดูกาลของการถวายผ้าจีวรของชาวพุทธพม่า
ชาวพม่าจะจัดงานถวายจีวรในงานพีธีต่างๆ เช่น งานจีวรกฐิน
งานจีวรจุลกฐิน งานจีวรบังสุกุล และ งานจีวรใยบัว
ในการจัดทำจีวรใยบัวนั้น จะต้องทำเป็นพิเศษ
ผู้ที่จะทำเส้นไหมใยบัวจะเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์ จำนวนราว ๓๐ คน
ชำระร่างกายให้สะอาด และต้องถือศีล ๑๐ กล่าวกันว่าหากสาวใดไม่รักษาศีล
มักจะทำให้เส้นใยบัวขาด
ที่มาของความเชื่อในการถวายจีวรใยบัวนั้น กล่าวว่า
อิงจากหนังสือคัมภีร์พุทธศาสนา ที่ว่า หลังจากที่โลกแตกดับไป
แล้วเกิดโลกใหม่ขึ้นมานั้น
ในเวลานั้นพื้นที่ที่ตั้งบัลลังก์มหาโพธิที่พระพุทธองค์มีชัยเหนือมารนั้นเกิดขึ้นมาก่อนพื้นที่อื่น
และภายใต้พื้นที่ที่ประดิษฐานบัลลังก์นั้นมีบัวหลวงกอหนึ่งผุดอยู่
เชื่อกันว่าหากบัวหลวงกอนี้ไม่งอกและไม่ผลิดอกบาน
โลกที่พระพุทธองค์มาบังเกิดคงสูญไปเช่นกัน
และในบัวบานนั้นจะมีเครื่องอัฐบริขาร(ของใช้พระ)อยู่ด้วย ๑ ชุด
ดังนั้นเมื่อพื้นดินใหม่เกิดขึ้นมาเหล่าพราหมณ์จะมาสังเกตุดูนิมิต
ว่าพื้นดินแห่งใหม่นั้นจะมีพระพุทธองค์บังเกิดหรือไม่
โดยดูว่าในกอบัวนั้นมีดอกบัวบานกี่ดอก หากไม่มีดอกบัวสักดอกเลย
นั่นหมายถึงไม่มีพุทธองค์มาบังเกิด โลกแห่งนี้จะตกในความมืดมัว
อบายภูมิจะมีคนพลุกพล่าน เมืองสวรรค์จะซบเซา แต่หากมีดอกบัวบาน
อบายภูมิจะเหงาหงอย แต่เมืองสวรรค์จะเนืองแน่น
และหากมีดอกบัวบานหลายดอก
ที่นั่นก็จะมีพระพุทธองค์บังเกิดหลายองค์
เมื่อเหล่าพราหมณ์พบพื้นดินที่มีกอบัวบานจะมีความปีติและจะนำเครื่องอัฐบริขารนั้นไปเก็บรักษาไว้ในสรวงสวรรค์
และเมื่อพระพุทธองค์เสด็จออกมาจากป่า
เหล่าพราหมณ์ก็จะนำเครื่องอัฐบริขาร ซึ่งประกอบด้วยจีวร
มาถวายพระพุทธองค์
ชาวพุทธพม่าจึงมีธรรมเนียมถวายผ้าจีวรแด่พระพุทธองค์
ซึ่งอาจเป็นผ้าที่ทำจากใยฝ้ายก็ได้
แต่สืบเนื่องจากที่หนองน้ำอีงเลมีบัวผุดขึ้นเป็นจำนวนมาก
จึงมีการประดิษฐ์จีวรจากใยบัวแท้ๆขึ้นมา
ซึ่งจีวรใยบัวที่ทอจากเส้นไหมใยบัวที่ได้มาใหม่ๆนี้จะนุ่มและมีความหอมละมุน
อย่างไรก็ตามชาวพม่าจำนวนไม่น้อยที่ไม่คุ้นเคยกับจีวรใยบัวแท้
จะเข้าใจว่าจีวรใยบัวแท้ๆนั้น
เป็นจีวรที่เหล่าทวยเทพทำขึ้นมาถวายพระพุทธเจ้า
มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะถักทอได้
ชาวอีงตากับผ้าใยบัว
อีงเล(v'Ntg]t)เป็นชื่อทะเลสาบน้ำจืดหรือหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศพม่า
หนองน้ำอีงเลอยู่ในรัฐฉานตอนใต้
ที่อีงเลนี้ไม่ว่าชาวพม่าหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างก็อยากไปเยือน
เนื่องเพราะที่นี่มีพระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เลื่องชื่อ คือ
พระเจดีย์ผ่องด่ออูพะยา(gzk'Ng9kNfut46ikt)
มีตลาดน้ำให้เที่ยวชม
และเป็นหนองน้ำที่โอบล้อมด้วยทิวเขาสร้างสรรค์ธรรมชาติอันงดงาม
วิถีชีวิตของชาวบ้านในหนองน้ำอีงเลดูแปลกตา พวกเขายืนพายเรือด้วยเท้า
ปลูกพืชผักบนแปลงสวะในหนองน้ำ
นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งผลิตมะเขือเทศแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของพม่า
ที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์ของผู้คนที่อาศัย ณ
สถานที่นี้ไม่ได้มีชื่อเสียงเพียงเพราะการเพาะปลูกมะเขือด้วยเทคนิคพิเศษเท่านั้น
แต่เรื่องการทอผ้ายังเป็นที่รู้จักอีกด้วย
การทอผ้าถือเป็นงานสร้างรายได้ที่สำคัญงานหนึ่งของชาวอีงตา
ผ้าที่โดดเด่นของที่นี่ คือ ผ้าไหม โดยเฉพาะผ้าไหมลายบางกอก
ลายเชียงใหม่ และ ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นต้นกำเนิดของผ้าเส้นใยบัว
ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าแต่หายาก
ผู้คนที่อยู่รายรอบหนองน้ำอีงเลนี้ รู้จักกันว่าคือ ชาวอีงตา(v'Ntlkt)
ตามตำนานกล่าวถึงที่มาของชาวอีงตาไว้ต่างกันไป บ้างว่า
ชาวอีงตาแต่เดิมก็คือชาวทวาย ที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศพม่า
ภายหลังได้อพยพมายังเขตหนองน้ำอีงเลในคราที่พระเจ้าอลองสี่ตู่(vg]k'Nt0PNl^)แห่งพุกามเสด็จประพาสทางน้ำมายังหนองน้ำอีงเล
พระองค์ทรงให้ชาวทวายที่ติดตามมาตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ
หนองน้ำแห่งนี้ แต่บ้างกล่าวว่า
ชาวอีงตาน่าจะเป็นชาวพุกามที่มาอาศัยอยู่ที่หนองน้ำอีงเล
คราเมื่อพระเจ้าอลองสี่ตู่เสด็จมายังหนองน้ำอีงเลจึงได้เคยมีโอกาสถวายการรับใช้
พอพระพระองค์เสด็จทางน้ำสู่เมืองทวายก็ตามเสด็จและได้รับอนุญาตให้อยู่
ณ เมืองทวายนั้น
ภาษาของพวกอีงตาจึงคล้ายกับภาษาของชาวทวาย
และภาษาของชาวทวายก็มีเค้าของภาษาพม่าโบราณ
ช่วยให้ย้อนไปถึงคนพุกามแต่ครั้งอดีต
ในด้านงานฝีมือทอผ้าของชาวอีงตานั้นโดดเด่นไม่แพ้กลุ่มชาวเผ่าอื่นๆ
เช่น ชาวยอ(gpk)ในมณฑลมะเกว(,gd:t) ชาวยะไข่(i-6b'N)ในรัฐยะไข่ หรือ
ชาวมอญในรัฐมอญ
ชาวอีงตามีชื่อเสียงมากในเรื่องการทอผ้าไหม
นักท่องเทียวที่ไปเยือนหนองน้ำอีงเล
มักจะเยี่ยมชมหมู่บ้านทอผ้าและหาผ้าไหมของชาวอีงตาติดมือกลับมาด้วย
แต่นอกจากผ้าไหมทอมือแล้ว ชาวอีงตายังชำนาญในการทอผ้าใยบัวอีกด้วย
และชาวอีงตาที่ริเริ่มผ้าใยบัวนี้ คือ
ชาวอีงตาที่หมู่บ้านจายคาม(dy7b'Nt-,NtvgiahU:k)
ในหนองน้ำอีงเลนั่นเอง
ที่หมู่บ้านจายคามแห่งนี้ ผลิตผ้าใยบัวที่มีคุณภาพ
เป็นใยบัวจากบัวหลวงที่มีอยู่ตามหนองน้ำอีงเล โดยมีด่อเส่งอุ้
(gmK0boNf) หญิงชาวอีงตาเป็นผู้บุกเบิกงานผ้าทอใยบัว
จุดประสงค์ในการผลิตผ้าทอใยบัวในเบื้องต้นนั้นก็เพื่อเย็บเป็นจีวรถวายวัดผ่องด่ออู
วัดใจบ้านใจเมืองของชาวอีงตานั่นเอง
ในการทอผ้าใยบัวในสมัยของด่อเส่งอุ้นั้น จะทำโดยการซื้อก้านบัวหลวง
แล้วมาปั่นเส้นใยบัวเอง
ซึ่งในการเก็บก้านบัวนั้นคนเก็บจะต้องทำเนื้อตัวให้สะอาด
และต้องตั้งเครื่องบูชา (v6oNtx:c) เป็นดอกไม้และประทีป
การเก็บก้านบัวจะเก็บได้มากในตอนหน้าฝน
และเมื่อน้ำขึ้นท่วมต้นบัวก็จะหยุดเก็บบัว
ดังนั้นการทอไหมใยบัวจึงทำได้เพียงปีละ ๖ เดือนเท่านั้น
การทอผ้าใยบัวจึงมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา
หลังจากที่ดอเส่งอุ้สิ้นลง งานทอผ้าใยบัวชะงักไป
ภายหลังด่อโองจี่(gmKv6oNtEdPN)ได้สืบทอดและฟื้นฟูการทอผ้าใยบัวขึ้นมาใหม่
แต่ในสมัยนี้จะไม่ปั่นเส้นใยบัวเอง
แต่จะซื้อจากชาวบ้านตามตลาดนัดหมู่บ้านรอบๆหนองน้ำอีงเล
เช่น ตลาดนันป่าง
(ooNtxoNgGt)ซึ่งเป็นตลาดนัดใหญ่ของรัฐฉานที่มีชาวบ้านจากเก้าหมู่บ้านมาขายของ
หรือ จากตลาดหยั่วม้ะเหย่บ่อ(U:k,gigxKgGt) หรือ ตลาดน้ำ เป็นต้น
การคัดเลือกเส้นใยบัวนั้น ดอโองจี่ จะเลือกเส้นไหม
โดยดูจากคุณภาพของเส้นใย
และราคาของเส้นใยบัวจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเส้นใย
โดยราคาซื้อขายจะอยู่ในราคา ๖๐๐-๙๐๐ จั๊ต ต่อน้ำหนัก ๑ จั๊ตตา (๑
จั๊ตตา เท่ากับ ๑.๖ กิโลกรัมของไทย)
ดังนั้นผู้ขายเส้นไหมบางรายจึงคิดวิธีที่ทำให้เส้นไหมมีน้ำหนัก เช่น
บางรายใช้ใยบัวที่ชุ่มน้ำมาทำเส้นไหม
ซึ่งวิธีนี้เส้นใยหนักแต่เนื้อไหมไม่แน่น และทำให้เกิดรา
เปื่อยยุ่ยง่าย บางรายผสมแป้งกาว บางรายผสมไนล่อน
ทำให้ไม่ได้เส้นใยเนื้อดี และเป็นต้นเหตุของการขาดทุนนับแสน
การผลิตผ้าใยบัวนั้น
ยังคงทำเป็นงานหัตถกรรมครัวเรือน โดยมีคนงานไม่มากนัก เช่น
กลุ่มของด่อโองจี่ จะมีคนงาน ๑๕ คน และมีลูกๆสืบทอดงานฝีมือ
งานผ้าทอใยบัวที่นี่ไม่เพียงเป็นจีวรถวายวัดเท่านั้น
แต่ยังทอเป็นผ้าผืนที่นำไปประยุกต์ประดิษฐ์เป็นของใช้อื่นๆได้
ดังนั้นที่นี่จึงมีการคิดลวดลายใหม่ๆสำหรับผ้าใยบัว เช่น ลายโยเดีย
เรียกว่า ลายซี(0utmu=6b'Nt) ลายเชียงใหม่ (='Nt,pNmu=6b'Nt)
ลายผ้าไหม(x6bt5PNmu=6b'Nt)
สำหรับชาวพม่าเองแล้วจีวรใยบัวยังคงมีความสำคัญมาก
เพราะใช้เป็นเครื่องบูชาถวายพระพุทธเจ้า
โดยเฉพาะในช่วงงานจุลกฐิน(,l6btld'oNt)
ซึ่งชาวพม่าจะจัดงานประกวดทอจีวรถวายองค์พระเจดีย์ในหลายๆวัด
แต่งานประกวดทอผ้าจีวรจุลกฐินที่โดดเด่นมาก ก็คือ
งานประกวดที่พระเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง
จีวรใยบัวที่ทอถวายพระพุทธเจ้านั้น จะต้องใช้ใยบัวมากในขนาดน้ำหนัก ๔
ปิตตา(ราว ๖.๔ กิโลกรัม) แต่ถ้าเป็นจีวรที่พระสงฆ์ใช้(จำนวน ๒ ชิ้น
คือ สบงกับจีวร)จะใช้ใยบัวในขนาดน้ำหนักราว ๒ ปิตตาครึ่ง(ราว ๔
กิโลกรัม) สีที่ใช้ย้อมใยบัว จะเป็นสีธรรมชาติ
โดยแต่เดิมจะใช้สีขนุนเพียงสีเดียว แต่เป็นสี อ่อน กลาง เข้ม
ในปัจจุบันยังคงใช้สีจากเปลือกไม้ธรรมชาติ
หากมีสีที่หลากหลายมากขึ้น
จีวรใยบัวนี้จะขายในราคาผืนละ ๓ แสนจั๊ต(ราว หมื่นกว่าบาท)
แม้จีวรใยบัวดูจะราคาสูง
แต่ตามร้านขายผ้าใยบัวจะมีใบสั่งสินค้า(gvkNmj)เข้ามามาก
ซึ่งมีทั้งที่สั่งจากในและต่างประเทศ สำหรับใบสั่งสินค้าจากต่างประเทศ
ส่วนใหญ่จะเป็นของลูกค้าชาวญี่ปุ่น
โดยมีการสั่งซื้อผ้าทอใยบัวที่มีขนาด กว้างยาว ๑๘ นิ้ว
และเป็นสีใยบัวตามธรรมชาติ
ผ้าชนิดนี้ชาวญี่ปุ่นนำไปใช้ห่อข้าวเคารพวิญญาณบรรพ-บุรุษที่หลุมศพ
บ้างนำไปทำเป็นที่รองถ้วยชา
นอกจากนี้ยังนำไปทำเป็นภาพวาดพระพุทธเจ้า
นอกจากนี้ชาวต่างชาติบางกลุ่ม นิยมนำผ้าไหมใยบัวไปตัดเป็นกระโปรง หรือ
เสื้อโค้ต
ด้วยเหตุที่เส้นไหมใยบัวมีคุณสมบัติพิเศษที่ปรับอุณหภูมิให้ต่างกับสภาพอากาศได้
โดยในยามที่อากาศเย็นใยบัวจะอุ่น และในยามที่อากาศอุ่น ใยบัวจะเย็น
และมีการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผ้าพันคอ กระเป๋าถือสตรี
สำหรับชิ้นส่วนใยบัวที่เหลือใช้ นำไปทำไส้หมอนแทนนุ่น หรือ
ทำกระเป๋าแว่นตา
ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกนี้ผู้ประกอบการใยบัวบางรายได้พยามยามควบคุมคุณภาพให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
และการพัฒนาคุณภาพอย่างหนึ่งที่ผู้ส่งออกผ้าใยบัวทำก็คือการส่งผ้าใยบัวมาตัดเย็บที่กรุงเทพฯ
เป็นต้น
นอกจากตลาดในประเทศ ตลาดเอเชีย เช่น
ญี่ปุ่นและเกาหลีที่ให้ความนิยมผ้าใยบัวแล้ว
ผู้ประกอบการหลายรายมองช่องทางการทำสินค้าผ้าใยบัวให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติอื่นๆที่นิยมของที่ผลิตจากธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้นการทำตลาดใยบัวเพื่อให้เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางขึ้น
จึงอาศัยการโฆษณาในหนังสือการบินของมัณฑะเลแอร์ไลน์และทางอินเตอร์เน็ตอีกด้วย
อรนุช นิยมธรรม
(ข้อมูลจากวารสาร To มิถุนายน ๒๐๐๕
และ e,oN,kTg]H56"t0",ykt ,๑๙๙๗)