น้องคนหนึ่ง เขียนมาถามว่า "เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม" เรียนเกี่ยวกับอะไร ขอตอบผ่านบล็อคนะคะ
ที่จริงถ้าเราตั้งโจทย์เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม คำถามแรก คือ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดจากอะไร ... จะเป็นอะไรไปเสียไม่ได้นอกจาก พฤติกรรมกินอยู่ของมนุษย์ ยิ่งกินมากใช้มาก ก็ยิ่งใช้ทรัพยากรมากขณะเดียวกันก็เหลือเป็นขยะ ของเสีย มลพิษกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมมากด้วย สิ่งแวดล้อมจึงเป็นทั้ง sink คือที่ทิ้งของเสีย และ source คือ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ สินค้า บริการต่างๆที่เราใช้อยู่
จะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงต้องแก้ที่พฤติกรรมมนุษย์ คำถามคือ จะแก้อย่างไร เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมพยายามวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาที่เกิดจากการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของมนษย์ และหาเครื่องมือในการแก้ปัญหาเหล่านี้
เศรษฐกิจพอเพียงที่ให้คนใช้อย่างพอประมาณ คำนึงความสมดุลในการดำรงชีวิต ที่หมายถึงสมดุลกับธรรมชาติด้วย ก็เป็นหลักคิดแบบหนึ่งที่เรียกร้องให้คนเรา "ตระหนัก" "ระเบิดจากภายใน" ควบคุมพฤติกรรมตนเอง ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้
เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมไม่ได้เน้นปัจจัยภายใน แต่สร้าง "กลไกจากภายนอก"
ถ้าพูดถึงกลไกควบคุมภายนอก มีอยู่ 3 ชุด
ชุดแรกคือ การสั่งการและควบคุม เช่น กม.ห้ามทิ้งของเสีย การกำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อม แล้วห้ามไม่ให้ต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นต้น
ชุดที่สองคือ การสร้างแรงจูงใจ เป็นเครืองมือทางเศรษฐศาสตร์โดยตรง วิธีนี้ไม่ได้ห้าม แต่ให้ "เลือก" เอาเอง เช่น การเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม เก็บค่าธรรมเนียมมลพิษทำให้สินค้าที่ก่อมลพิษมีราคาสูงขึ้น ลดแรงจูงใจในการซื้อ ลดการบริโภค ระบบมัดจำขวด ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของเครื่องมือชุดนี้ หลักการคือ "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" เพื่อลดปัญหาการผลักภาระสู่สังคม แน่นอนว่า ผู้ก่อมลพิษในทางเศรษฐศาสตร์มีสองส่วน คือ ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค เมื่อคนเหล่านี้ต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นด้วย ก็จะ "ระมัดระวัง" มากขึ้นในการกินการใช้
ในต่างประเทศพูดถึงเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการลดปัญหาภาวะโลกร้อนกันมาก เช่น tradable permit, carbon credit
ชุดที่สาม คือ การเจรจาต่อรอง กระบวนการชุมชน การเคลื่อนไหวต่อรองกับผู้ก่อมลพิษ การร้องเรียนต่างๆ จะอยู่ในเครื่องมือชุดนี้
เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม นอกจากจะเน้นการวิเคราะห์และสร้างเครื่องมือชุดที่สองแล้ว ยังอธิบายเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของเครื่องมือชุดต่างๆด้วย สถานการณ์ต่างกัน จะใช้เครื่องมือชุดไหนอย่างไร ภายใต้หลักการ ให้บรรลุเป้าหมายด้วย "ต้นทุนรวมของสังคม"ต่ำที่สุด
หัวใจสำคัญของที่จะใช้เครื่องมือชุดที่สองและชุดที่สามได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ ระบบกรรมสิทธิ์ เช่น สิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพยากร สิทธิในการก่อหรือยับยั้งมลพิษ ถ้าระบบกรรมสิทธิ์ไม่ชัดเจน จะเจรจาก็คงเถียงกันไม่จบ จะใช้กลไกราคาก็ไม่รู้ว่าใครจะมีสิทธิตั้งราคา
"สถาบัน" (เช่นระบบกรรมสิทธิ์) จึงเป็นอีกประเด็นที่เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมต้องพูดถึงค่ะ การรวมกลุ่มในระดับโลก เพื่อสร้างสนธิสํญญาระหว่างประเทศต่างๆ ในการจัดการสิ่งแวดล้อมก็ถือว่าอยู่ในประเด็นนี้ค่ะ
ไม่มีความเห็น