ในความสงัด*
เขียนที่ Boulder, Colorado
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒
โดย ระวี ภาวิไล
๑
น้ำใสในลำธาร ละลายไหลมาจากหิมะอันปกคลุมยอดเขาสูงไกลออกไป ณ ที่นี้ มันกรากกระทบโขดหิน ฟองฝอยสดซ่าสู่อากาศเป็นประกายในแดดอ่อนรุ่งอรุณ วันใหม่มาถึงแล้ว !
สรรพชีพเพิ่งตื่นจากความหลับ นกยังไม่ร้อง มีแต่เสียงน้ำซัดเซาะโขดผาดังซ่า
ฟ้าสีครามอ่อนไม่มีเมฆ ไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงรายเหนือพื้นหญ้าราบริมธาร กิ่งก้านแผ่นิ่ง ใบไม้ไหวน้อย ๆ ในสายลมอ่อนต้องแสงอรุณเป็นสีเขียวเรืองวาววับจับตา
ผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะกิ่งไม้อาบเอิบในแสงแดดอุ่น อีกครู่หนึ่งก็โผบิน ปีกสะท้อนทอแสงอรุณเป็นประกายดังทองเปลว
ธรรมชาติเปล่งสำเนียงปราโมทย์ รับอุบัติกาลแห่งวันใหม่ชีวิตใหม่เริ่มแล้ว หลังจากความตายของวันวาน !
นิ่งอยู่ ณ สถานนี้ กายอุ่นด้วยแสงอรุณ จิตเอิบอาบในโชติสว่างแห่งความวิเวก
๒
สถานสงบในโลกลดลงทุกวันแต่ยังพอค้นพบ ความสงัดในจิตเกิดได้ยากกว่านัก แม้สำเนียงภายนอกเงียบลง แต่เสียงภายในยังกึกก้องฟุ้งซ่านเต็มที่ จิตโลดแล่นตามสิ่งมาสัมผัสและแม้เมื่อภาพภายนอกเลือนรางไปแล้ว จิตก็ยังขบเคี้ยวซากแห่งอดีต คือความทรงจำไม่ลดละ
ความยาก แยกผู้อยากออกจากสิ่งอันน่าใคร่ เกิดการดิ้นรนโลดแล่นเข้าหา อัตตาเกิดขึ้น กาลเวลาเกิดขึ้นเมื่อใด ความอยากสิ้นไป อัตตาและกาลเวลาย่อมไม่ปรากฏ ความสงัดแท้จริงเกิดก็เมื่อความอยากทั้งหลายสิ้นลง
เพื่อการปรากฏของความสงัดอันยิ่ง จิตจะต้องถูกชำระล้างจากฝุ่นผงอันได้เกาะทับถมอยู่นานนับศตวรรษเสียก่อน ประสบการณ์แห่งอดีต ไม่ว่าปวดร้าว หรือหวานล้ำ หยาบหรือประณีต จำต้องปล่อยวาง
จิตจะต้องปล่อยวาง สิ่งทั้งหลาย อันเคยใฝ่หา สร้างสมและยึดมั่นไว้ เป็นต้นว่า
ทรัพย์สาร อำนาจ ชื่อเสียงเกียรติคุณ สิ่งอันรักใคร่ ความรู้และแม้ความดีชั่ว เราจะต้องผ่านความตาย แม้นชีพจรยังเต้นอยู่
ในความสงัดอันยิ่ง ชีวิตและความตายกลมกลืนกัน
โลกและธรรมแยกไม่ออกจากกัน
ชั่วขณะจิตปรากฏเป็นนิรันดร
๓
โดยผิวเผิน ดูคลายว่า การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์และในโลกเป็นไปเพราะอำนาจแห่งสารวัตถุ พลังงานและสสาร ดำเนินบทบาททั้งในการสร้างและทำลายล้าง ก่อให้เกิดทั้งสุขและทุกข์แก่มวลมนุษย์และสัตว์
แท้จริงจิตนั้น เป็นผู้สร้างและทำลาย ความดีความชั่ว แผนการ อุดมคติ ลัทธิ ความเชื่อ และศาสนา เกิดในจิต ทุกข์และสุขในโลกจึงอุบัติขึ้นจากจิต
จิตเหมือนวานร ไม่ชอบนิ่งไม่อยู่สุข จับต้องลูบคลำอารมณ์อยู่เสมอ คิดซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งที่พอใจและไม่พอใจ ฟุ้งซ่านโลดไปมา งุ่นง่านและพลุ่งพล่าน ผูกมัดไว้ก็ดิ้นรนไม่ยอมหยุด เมื่อหมดแรงเข้า ก็ซบเซาหาวนอนทันที
จิตถือเอาซากแห่งอดีตเป็นอาหาร สร้างอนาคตขึ้นจากภูตแห่งอดีต สิ่งทั้งหลายที่จิตสร้างขึ้นไม่จีรัง ไม่ว่าจะสวยสดงดงามเพียงใด
จงประกอบด้วยสติและปัญญา พิจารณาให้ชัดเจนและให้รู้ทันภาพลวงทั้งหลายที่จิตสร้างขึ้น !
๔
โลกโหดร้ายไร้เมตตา เพราะมนุษย์ทะเยอทะยานและบูชาความสำเร็จส่วนตน ชิงดีชิงเด่น และแก่งแย่งสิ่งพึงปรารถนา
โลกลุกเป็นไฟ เพราะมนุษย์ชอบแสวงอำนาจและใช้อำนาจ
โลกเปื้อนเปรอะด้วยคาวเลือด เพราะโลภ โกรธ และเกลียดชัง
โลกร้อนด้วยพยาบาท และอิจฉาริษยา
โลกนี้มืดมน หลงเมาในความยิ่งใหญ่ของตนเอง !
เพื่อนลวงใช้เพื่อนในนามมิตรภาพ
หญิงชายใช้กายและใจของกันและกันในนามความรัก
อาจารย์แสวงหาศิษย์เพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณ และศิษย์อาศัยชื่ออาจารย์หากิน
นักปฏิวัติ ทำลายพันธนาการของประชาชน เพื่อจะสวมขื่อคาตราใหม่ให้ !
และมนุษย์ ตัดสินความขัดแย้งด้วยกำลัง และประหัตประหารกันในนามของสันติภาพ !
จงพิจารณาหยดน้ำบนใบบัว
ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน ไม่ยึดถือ
เมื่ออาทิตย์ขึ้นสูง สาดแสงจ้า
หยดน้ำก็ระเหยหายไป
๕
คนจำนวนมากไม่อาจอยู่เงียบและเพ่งพินิจจิตตนเองอย่างถ้วนถี่ได้เพราะเขากลัวจะได้พบความมืดทึบและโฉดเขลาภายใน บุคคลไม่กล้าพิจารณาความเสื่อมโทรมและร่วงโรยของกายและใจตนอันเป็นไปตามกาล เพราะไม่อาจเผชิญกับความไร้ค่าของชีวิตอันดำเนินไปด้วยความกระตุ้นเตือนและบำรุงบำเรอความอยาก
เพื่อปกปิดความยากไร้ภายใน มนุษย์สะสมทรัพย์สมบัติความมั่นคั่งในโลก เพื่อกลบเกลื่อนความว่างเปล่าและไร้คุณค่าของชีวิต เขาแสวงหาอาภรณ์ภายนอกมาประดับ โดยสวมหัวโขนแห่งเกียรติ อันสมมุติกันขึ้นนานาประการ เป็นต้นว่า ยศศักดิ์ ตำแหน่ง
และปริญญา !
๖
ดอกหญ้ากระจิริดที่บานสะพรั่งอยู่มากมายริมถนน ดูไม่มีความสำคัญอันผู้หนึ่งผู้ใดจะต้องเอาใจใส่ บางครั้งมันจะถูกบดขยี้โดยเท้ามนุษย์และล้อรถยนต์ ในบางฤดูมันแห้งเหี่ยวตายไป แต่บัดนี้ มันกลับมาชูก้านขยายกลีบเกสรรับแสงแดดอีก เมื่อเข้าพิจารณาใกล้ชิด เราก็ได้เห็นความประณีตและวิจิตรพิสดารของมันอันฝีมือมนุษย์ไม่อาจทำเทียมได้
ดอกหญ้าเหล่านี้ มีความงามอันไม่โอ่อวด มันเผยให้เห็นโลกอันเอิบอิ่มบริสุทธิ์ มันอุทิศตนเองชูช่อส่งกลิ่นไปในอากาศมันไม่หวงกันน้ำหวานไว้จากแมลงผึ้ง มันไม่สะสมเพราะมันดำรงอยู่ในโลกอันไร้ความกังวล อันมีปัจจุบันดำรงอยู่นิรันดร
จงเรียนรู้การดำรงชีวิตแห่งความจริง
จากดอกหญ้าริมถนนเหล่านั้น !
๗
อดีตคือภูตพเนจรในหมอกแห่งความทรงจำ อดีตอันไร้ปัญญาย่อมผูกรัดและฉุดกระชากปัจจุบัน อดีตที่ไม่ยอมตายตามสภาพธรรมสร้างภาพหลอนแห่งอนาคตขึ้นด้วยความกระหายและคร่ำครวญหาสัมฤทธิผล
อดีตผ่านไปแล้วและตายแล้ว ! จะไม่กลับมาอีกแม้ขณะหนึ่ง เมื่อจิตกอดรัดภูตอันหลอกหลอนอยู่ บุคคลย่อมจมอยู่ในกองทุกข์
ไร้สันโดษ มนุษย์เทียบปัจจุบันกับอดีต และฝันถึงอนาคตอันไม่มีอยู่ เขาหยุดดำรงชีวิต ซึ่งมีจริงก็เฉพาะขณะปัจจุบัน นัยน์ตาเขาบอดต่อความงดงามของปัจจุบัน อันมิรู้สิ้นสุด เขาดำรงชีวิตในความตายและความฝัน แม้มีลมหายใจอยู่
เมื่อไร้สันโดษ จิตก็ไร้ความสงบ วิเวกย่อมไม่เกิด จิตปั่นป่วนดังทะเลฤดูมรสุม แสงดาวแสงเดือนไม่อาจสะท้อนที่พื้นผิวน้ำดันเป็นคลื่น สภาพล้ำลึกแห่งห้วงเวลาไม่อาจปรากฏ
ตราบที่ปัจจุบันยังปรากฏเป็นเพียงประตูจากอดีตไปสู่อนาคตจิตก็ยังถูกจองจำไว้ในข่ายแห่งกาลเวลา อันความอยากเป็นผู้ถักร้อย เมื่อใดความอยากความกระหายทั้งหลายสิ้นไป สันโดษจะปรากฏความแท้จริง เป็นการเห็นประจักษ์คุณค่าของปัจจุบัน
จงสลัดหลุดจากพันธนาการแห่งเวลา !
๘
วันหนึ่งข้างหน้า ลมหายใจจะหยุดเข้าออก จิตจะเลื่อนเข้าสู่สภาพที่ไม่อาจรู้มืดสว่าง กายนี้จะแตกสลาย
ดินกลับเป็นดิน น้ำกลับคืนสู่ลำธารและห้วงสมุทร ลมหายใจลอยขึ้นสู่บรรยากาศ ความร้อนซาบซึมแผ่ไปในเวหา
แต่ดาวเดือนก็จะยังปรากฏในราตรี และเมื่อรุ่งอรุณ กลีบเกสรของดอกหญ้าก็จะคลี่ขยายรับแสงแดด รากของมันจะหยั่งลึกลง ดูดความหล่อเลี้ยงจากซากผุพังเบื้องล่าง บทบาทแห่งชีวิตทั้งหลายก็ยังดำเนินไปในเวทีมหึมาแห่งโลกภพ
ปรมาณูในดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ทั้งหลายยังคงสั่นสะเทือนและแผ่รังสี จักรวาลานุจักรวาล จะก่อขึ้นในกาลอวกาศและเปลี่ยนแปร สรรพชีพจะยังเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับสลายอารยธรรมเกิดและเสื่อม อาณาจักรอุบัติและวิบัติ สรรพสิ่งดำเนินไปในวังวนแห่งสังขารธรรม
สรรพสิ่ง จะเป็นวัตถุหรือจิต หยาบหรือละเอียด ดีหรือชั่วหากมีปัจจัยให้เกิด ย่อมแปรเปลี่ยนดับสลายไปตามกาล
สิ่งใด ดำรงอยู่เอง
ไร้ปัจจัย ไม่เป็นของบุคคล
ไม่เป็นบุคคล พ้นกาลเวลา
ย่อดำรงอยู่นิรันดร
แหล่งที่มา
ในความสงัด คัดลอกมาจาก หนังสือ ความสงัด เขียนโดย ระวี ภาวิไล สำนักพิมพ์ ผีเสื้อ ๒๕๔๑
Kwaam-sa-ngud by Professor Rawi Bhavilai
Published and Copyright © 1998 by Butterfly Book House
ท่าน เชิดศักดิ์ สบายดี
โดยส่วนตัวแล้วชอบ อ.ระวี ภาวิไล เป็นการเฉพาะอยู่เหมือนกัน ในแง่ของความละเมียดละไมของภาษาที่สื่อออกมา อ่านเพลินดีแม้บางครั้งจะต้องอ่านหลายรอบหน่อยก็ตามที
ชอบงานแปลท่านมากเช่นกันค่ะ
โดยเฉพาะงาน คาลิล ยิบราล
ผมว่างานเขียนของท่านเป็นอมตะดี เข้าได้กับทุกยุคสมัย เหมือนตอนนี้ สังคมบ้านเรายิ่งแย่ อยู่ ถ้าพวกเรารู้จัดให้อภัย กันก็ดี สังคมจะได้สงบสุข กันมากกว่านี้
ชอบอ่านงานของอาจารย์ ชอบฟังเวลาอาจารย์พูด(ครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว ในรายการทีวี...) รู้สึกอบอุ่น ลุ่มลึก ปล่อยวาง ขอบคุณค่ะ ที่คัดลอกงานดีดี มาให้ได้สัมผัส...