ไม่รู้ ไม่มี....เลยแก้ปัญหาไม่ได้
เรื่องของเรื่องคือเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (21 พ.ย.50) ผมได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักคนหนึ่งว่าลูกชายอายุ 19 ปี ถูกศาลตัดสินจำคุก 3 เดือน โดยไม่รอลงอาญาตามความผิด พ.ร.บ.จราจร ฐานขับรถมอร์เตอร์ไซค์ชนเด็กอายุ 11 ขวบ ได้รับบาดเจ็บสาหัส (ขาหัก 2 ท่อน พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 อาทิตย์ พักรักษาตัวที่บ้านอีก 3 เดือน)....ซึ่งจริงๆ ผมเองก็ทราบเรื่องมาประมาณ 2 – 3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ไม่นึกว่าการแก้ปัญหาจะลากยาวมาจนถึงขั้นนี้ เพราะตอนที่ทราบข่าวแรกๆ ก็ได้โทรไปปรึกษาเพื่อนฝูงที่เป็นรองสารวัตรจราจรว่าขั้นตอนจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรถ้าคู่กรณีตกลงกันได้ในเรื่องของค่าเสียหายที่นอกเหนือจากค่ารักษาพยาบาลซึ่งประกันจ่ายให้ทั้งหมด ก็ไม่น่าจะมีปัญหาที่ยืดเยื้อ และศาลคงลงโทษทางอาญาอย่างมากก็รอลงอาญา.......
จนแล้วจดรอดตอนที่ได้รับโทรศัพท์ว่าศาลตัดสินไม่รอลงอาญา เลยต้องรับเข้าไปสืบสาวราวเรื่อง เพราะคงมีอะไรผิดปกติแน่นอน จนทราบเหตุการณ์ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น โดยสรุป คือ
1. คู่กรณีไม่ได้เจรจาตกลงค่าเสียหายกัน เพราะฝ่ายที่ได้รับบาดเจ็บเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่ม 7 หมื่นบาท แต่คู่กรณีเห็นว่ามากเกินไป และไม่มีเงิน เพราะประกอบอาชีพที่รายได้ไม่มากนัก แต่ทั้งคู่ไม่เคยเจรจาต่อรองกันเลย
2. ไม่มีผู้ให้คำปรึกษา เพราะจริงๆ คดีแบบนี้เป็นคดีที่ยอมความและตกลงกันได้ในชั้นพนักงานสอบสวน (ตำรวจ) แต่ด้วยความไม่รู้ของทั้ง 2 ฝ่าย ประกอบกับไม่มีผู้ให้คำปรึกษา พนักงานสอบสวนจึงต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการนำฟ้องต่อศาล ซึ่งตรงนี้ได้ทราบขั้นตอนว่าถ้าฝ่ายจำเลยวางเงินค่าเสียหายให้กับโจทย์จำนวนหนึ่งศาลจะใช้ดุลพินิจในการตัดสินว่าจะให้ชดใช้อย่างไร โดยที่โทษทางอาญาไม่จำเป็นต้องจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และไม่น่าจะต้องฟ้องแพ่งกันต่อ
3. ไม่่มีเงิน จากเหตุในข้อ 2 ด้วยความที่ไม่มีเงิน และไม่รู้ ฝ่ายจำเลยเลยไม่วางเงินในชั้นศาล เพราะเข้าใจว่าถ้ายอมวางเงินจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด 7 หมื่นบาท
หลังจากทราบความเป็นมาเป็นไปทั้งหมดแล้ว ผมในฐานะคนกลาง จึงอาสานำคู่กรณีไปเจรจากันในเรื่องค่าเสียหายก่อนที่ฝ่ายโจทย์จะฟ้องแพ่ง ซึ่งจริงๆ เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะเหตุการแบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาไม่มีการพูดคุยกัน จนในที่สุดก็สามารถตกลงชดใช้ค่าเสียหายกันได้ที่ 3 หมื่นบาท ทั้งคู่จึงไปลงบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ ถือว่าสิ้นสุดในทางแพ่ง
แต่ในทางอาญา ต้องประกันตัวในวงเงิน 6 หมื่นบาท และยื่นอุทรณ์ต่อ ซึ่งจากการปรึกษากับร้อยเวร และพนักงานอัยการ ทราบว่าในขั้นอุทรณ์ศาลน่าจะตัดสินให้โทษจำคุก เป็นรอลงอาญา เพราะคู่กรณีได้เจรจาและชดใช้เป็นที่น่าพอใจแล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นขั้นตอนก่อนที่ศาลชั้นต้นจะตัดสิน แต่ในที่สุดแล้ว ด้วยความไม่มี (เงินหรือหลักทรัพย์) เลยไม่สามารถประกันตัวออกมาได้ และถ้าประกันตัวออกมาแล้วก็ต้องหาทนายมาเขียนคำอุทรณ์ต่อ ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายขึ้นมาอีก และต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 – 3 เดือน ที่ต้องรอลุ้นคำตัดสินของศาลอุทรณ์ ประกอบกับเมื่อปรึกษากับทางเรือนจำแล้วทราบว่าในคดีนี้การคุมขังไม่เข้มงวดมากนัก และน่าจะได้รับอภัยโทษในต้นเดือนธันวานี้ ซึ่งก็น่าจะประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ สุดท้ายเลยต้องยอมให้รับโทษจำคุก ต่อไป
จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และสรุปว่าสาเหตุสำคัญของปัญหามี คือ ความไม่รู้และความไม่มี เลยแก้ปัญหาไม่ได้เท่านั้น ซึ่งนั้นแสดงให้เห็นว่าบ้านเรายังไม่ได้หลุดจากปัญหาของวงจรอุบาทว์ “โง่---จน---เจ็บ” ได้เลย
ด้วยความเคารพรัก
โหย! พูดว่าวงจรอุบาท ก็จบสิคะ พูดต่อไม่ได้ ไม่มีทางออกเสียเลย ก็เขากำลังเรียนรู้อยู่นี่ไงละคะ ในฐานะเป็นครู ที่มีหน้าที่ ล้างผลาญความไม่รู้ของคนนะคะ ขอเรียนว่า คนบางคนเรียนรู้อยู่ตลอดชีวิต และเรียนในห้องเรียนอย่างเดียวก็น้อยเกินไป ถามว่าเรียนจบดอกเตอร์ มีโอกาสโง่ไหม ก็มีเหมือนกันละน่า ดิฉันไม่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ปัญหา แล้วไปสิ้นสุดที่คำว่า โง่ จน เจ็บ เพราะเป็นการไม่ให้โอกาสคนในการเรียนรู้ และที่สำคัญ สังคมเรา มันมีคนพยายามทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และจน เป็นคนกลุ่มเดียวที่ไม่รู้จักพอ กอบโกยเข้าตัวเอง โดยอ้างว่าทำเพื่อคนส่วนใหญ่นั่นแหละ
ขอบคุณ แบบนี้ทั้งโลกคงต้องช่วยกันครับ
ขอบคุณคุณ katheeee
ด้วยความเคารพรัก