มหาสงครามสะท้านนรก
มหาสงครามภายหลังพระสุริโยไทสิ้นพระชนม์
ท่านที่เคยชมสุดยอดภาพยนตร์ไทย เรื่อง “สุริโยไท” ของ ม.จ.ชาตรี เฉลิม ยุคล หลายคนอาจสงสัยว่า หลังจากพระสุริโยไทสิ้นพระชนม์บนคอช้างด้วยต้องง้าวของพระเจ้าแปรแล้ว สงครามดำเนินไปอย่างไร?
<p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ความสงสัยนี้ผมเองก็ลืมไปเหมือนกัน แม้จะเคยเรียนประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยามาแล้ว ในสมัยผมเรียนปริญญาตรี วิชาโทประวัติศาสตร์ ผมก็รื้อฟื้นความทรงจำไม่ได้ ผมจึงต้องกลับไปอ่านอีกครั้ง พอดีผมมีหนังสือของ ม.จ.ชาตรี เล่มหนึ่งที่ท่านได้เขียนเป็นจดหมายเหตุเพื่อศึกษาค้นคว้าข้อมูลมาสร้างภาพยนตร์เรื่อง “สุริโยไท” ผมจึงหยิบมาอ่านศึกษาและพบว่า สงครามภายหลังพระสุริโยไทสิ้นพระชนม์นั้น เป็นมหาสงครามครั้งใหญ่และน่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด ผมจึงขอเรียกมหาสงครามนี้ไว้อย่างน่ากลัวว่า “มหาสงครามสะท้านนรก”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ย้อนรอยสงครามก่อนพระสุริโยไทสิ้นพระชนม์</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> “จึ่งเชิญสมเด็จพระเธียรราชาธิราชเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักพรรดิ” (พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์)</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> เมื่อครั้งเสร็จสิ้นปราบกบฏแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์และขุนชินราชแล้ว บรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารได้อัญเชิญพระเธียรราชาขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ปีพุทธศักราช ๒๐๙๑ ครั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เสวยราชย์ได้ ๗ เดือน สมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ตะเบงชะเวตี้ ได้ทรงกรีฑาทัพด้วยรี้พลถึง ๓ แสน (คำให้การชาวกรุงเก่า ว่า มีถึง ๕ แสนคน) ช้าง ๗๐๐ เชือก ม้า ๓,๐๐๐ ตัว (ประวัติศาสตร์พม่ายังระบุว่ามีรี้พลถึง ๘ แสนคนและทหารองครักษ์โปรตุเกสอีก ๔๐๐ คน) ดูตัวเลขแม้จะไม่ตรงกันแต่ก็มากมาย ด้วยหวังขยี้ศรีอโยธยาให้แหลกเป็นผุยผง เนื่องจากเห็นเป็นโอกาสเหมาะขณะที่ศรีอโยธยาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ บ้านเมืองวุ่นวาย ไม่มั่นคง หัวเมืองต่างๆ กระด้างกระเดื่องอยู่คงไม่อาจต้านทานกองทัพมหึมาและแข็งแกร่งของหงสาวดีได้</p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> กองทัพหงสาวดีจำนวนมหาศาลและเกรียงไกร ยกพลมาทางเมืองเมาะตะมะ เดินทัพผ่านเมืองถึง ๗ วัน ไพร่พลจึงสิ้น แล้วเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มุ่งสู่อโยธยา ข่าวศึกครั้งนี้รู้ถึงอโยธยาอย่างรวดเร็ว จึงตระเตรียมตั้งรับทัพภายในพระนคร </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๔ (พ.ศ.๒๐๙๑) กองทัพพระเจ้าหงสาวดีก็เข้าล้อมกรุงศรีอโยธยา โดยตั้งค่ายหลวงที่ตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราชตั้งค่ายที่ตำบลเพนียด และทัพพระเจ้าแปรตั้งค่ายที่ตำบลทุ่งวัดวรเชษฐ์</p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ศกเดียวกัน กองทัพหงสาวดี เข้าโจมตีกรุงศรีอโยธยาเป็นครั้งแรก “ภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง จะมีทหารกว่าหนึ่งหมื่นคนนอนตายทั้งสองข้างของกำแพง” </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ไม่สำเร็จ จึงโจมตีระลอกใหม่โดยใช้ช้าง ๕,๐๐๐ เชือก และทหารมอญและจาม ๒ หมื่นนาย แต่ไม่อาจทะลวงเข้าผ่านกำแพงเมืองไปได้ สถานการณ์เริ่มคับขัน เพราะทหารของหงสาวดีไหลเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงคชาธารออกบัญชาการรบเอง โดยมีพระสุริโยไท(ปลอมพระองค์เป็นชาย) พระราเมศวรและพระมหินทราธิราชพระราชโอรสตามเสด็จ การบพุ่งครั้งนั้นเป็นไปด้วยความดุเดือด ในที่สุดความสูญเสียครั้งใหญ่ก็บังเกิดแก่กรุงศรีอโยธยา</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“ฝ่ายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิดำรัสให้แยกพลเป็นปีกกา พลโยธาหาญทั้งสองฝ่ายบ้างเห่โห่เป็นโกลาหล เข้าปะทะประจันตีฟันแทงแย้งยุทธ ยิงปืนระดมศัตราธุมาการคลบไปทั้งอากาศ พลทั้งสองฝ่ายบ้างตาย บ้างลำบากกลิ้งกลาดเกลื่อนท้องทุ่งเป็นอันมาก สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าก็ขับพระคชาธารเข้าชนช้างกองหน้าพระเจ้าหงสาวดี พระคชาธารเสียทีให้หลังข้าศึกเอาไว้ไม่อยู่ พระเจ้าแปรได้ท้ายข้าศึกดังนั้น ก็ขับพระคชาธารตามไล่ช้างพระมหาจักรพรรดิ พระสุริโยทัยเห็นพระราชสามีเสียทีไม่พ้นมือข้าศึก ทรงพระกตัญญูภาพ ก็ขับพระคชาธารพลายทรงสุริยกษัตริย์สะอึกออกรับ พระคชาธารพระเจ้าแปรได้ล่างแบกถนัด พระคชาธารพระสุริโยทัยแหงนหงายเสียที พระเจ้าแปรจ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวต้องพระอังสาพระสุริโยทัยขาดกระทั่งถึงราวพระถันประเทศ พระราเมศวรกับพระมหินทราธิราชก็ขับพระคชาธารถลันจะเข้าแก้พระราชมารดาไม่ทันที พอพระชนนีสิ้นพระชนม์กับคอช้าง” (พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๑) </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">มหาสงครามสะท้านนรก</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> เหตุการณ์หลังจากนี้ “สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า จึงได้อัญเชิญพระศพพระสุริโยทัยผู้เป็นอัครมเหสีมาไว้ตำบลสวนหลวง”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> สงครามดำเนินต่อไปเป็นวันที่สอง กองทัพพระเจ้าหงสาวดีสามารถตีค่ายพระสุนทรสงครามและค่ายป้อมจำปาแตก แต่ก็เสียรี้พลไปเป็นจำนวนมาก “พระองค์ได้รับสั่งให้มีการตรวจพล และพบว่าพระองค์สูญเสียไพร่พลไปกว่า ๑๔๐,๐๐๐ คน ในระยะเวลาสี่เดือนครึ่งที่ทรงโจมตีกรุงศรีอโยธยา ส่วนใหญ่จากโรคภัยไข้เจ็บ” </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> การโจมตีกรุงศรีอโยธยาดำเนินมาเป็นครั้งที่ ๗ แล้ว แต่ก็ไม่อาจหักเอากรุงศรีอโยธยาได้ ซ้ำรี้พลก็ล้มตายไปเป็นอันมากเกือบครึ่งหนึ่ง เวลาที่เนิ่นนานไปเท่าใดก็ยิ่งจะเสียทีแก่กรุงศรีอโยธยามากขึ้นเท่านั้น เพราะทหารอโยธยากล้าแกร่งและมีฝีมือในการรบพุ่งมาก กำแพงป้อมปราการก็หนาแน่นแข็งแรง ในที่สุด พระเจ้าหงสาวดีจึงคิดโจมตีขั้นแตกหัก เป็นครั้งที่แปด โดยครั้งนี้จะโจมตีในเวลากลางคืน ทรงสั่งให้ตระเตรียมการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นให้พรั่งพร้อม ภายใน ๑๗ วัน หอคอยขนาดใหญ่และแข็งแรงบนล้อเหล็กเลื่อนเพื่อการรบ ๒๕ หอคอยก็พร้อม</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> “คืนวันศุกร์ที่มืดครึ้ม ฝนตกหนัก และทึบทึม เวลาเที่ยงคืน กษัตริย์พม่าได้สั่งให้ปืนใหญ่ทั้งหมดที่มีอยู่ในค่าย” ๑๖๐ กระบอก ปืนคาบศิลากว่า ๑,๕๐๐ กระบอก รวมปืนทุกชนิดกว่า ๑ แสนกระบอก “ยิงพร้อมกัน ๓ ครั้ง…ทำให้แผ่นดินสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่นน่ากลัวหนักหนา ซึ่ง…สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า จะมีแต่ในนรกเท่านั้นที่จะมีอะไรเสมอเหมือนได้…ปืนเหล่านี้ยิงต่อเนื่องกันเป็นเวลามากกว่าสามชั่วโมงในคืนเดือนมืดที่พายุฝนพัดกระหน่ำ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายอสุนีบาต แลบสว่างไสว ฟ้าผ่ากึกก้อง…. .ในเวลาสุดยอดของพายุมหากาฬที่ดุเดือดอย่างไม่มีที่เปรียบครั้งนี้ พวกทหารพม่าจุดไฟเผาหอคอยทั้งยี่สิบห้าหอ แล้วลากมันเข้ามาประชิดติดกำแพง พลังของไฟที่กระพือโหมด้วยลมพายุที่ครวญครางอยู่ในขณะนั้น ทำให้ถังน้ำมันดินเป็นจำนวนมากที่อยู่ในบริเวณนั้นติดไฟลุกโชติช่วงเป็นเพลิงนรก และนั่นเป็นคำเดียวที่เหมาะสม เพราะว่าไม่มีอะไรอีกแล้วในโลกนี้ที่จะนำมาเปรียบเทียบได้ แม้กระทั่งผู้ที่อยู่นอกกำแพง ยังสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว นับประสาอะไรผู้ที่ถูกบังคับให้ผจญกับพลังอันมหาศาลนี้ และหลังจากนั้น การต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านก็เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง”</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> ๔ ชั่วโมงแล้วหลังจากโจมตี เพลิงเผาผลาญหอคอย ๒๕ หอจนกลายเป็นถ่านแดงส่งรัศมีความร้อนแรงไปไกล แม้จนทหารพม่าก็ทนร้อนไม่ไหว ในที่สุดพระเจ้าหงสาวดีก็ตรัสสั่งให้ถอย แล้ววางแผนโจมตีอีกระลอกหนึ่งด้วยการสร้างพูนดินเสริมด้วยไม้ให้สูงกว่ากำแพงเมืองอโยธยา แล้วตั้งปืนใหญ่เล็งเข้าไปในพระนคร เรียงรายเป็นแนวยาวถึง ๖๐ กระบอก จากนั้นก็ให้ระดมยิงปืนใหญ่ถล่มพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันโจมตี ก็มีข่าวจากหงสาวดีแจ้งเข้ามาว่า สมิงธอรามก่อกบฏในหงสาวดีฆ่าทหารพม่าล้มตาย ๑๕,๐๐๐ คน พระเจ้าหงสาวดีตระหนกพระทัย จึงยุติการโจมตีและเร่งถอนทัพกลับโดยเร็ว พระราเมศวรและพระมหินทราธิราชได้จัดกองทัพพล ๑ หมื่นติดตามตีทัพพม่าแต่กลับถูกกลศึกถูกจับได้ พระเจ้าจักรพรรดิมีหนังสือขอให้พระเจ้าหงสาวดีปล่อยพระโอรส พระเจ้าหงสาวดียื่นข้อเสนอให้นำช้างศึกพลายศรีมงคลและพลายมงคลทวีปไปแลก พระเจ้าจักรพรรดิทรงยินยอม แต่ภายหลังพระเจ้าหงสาวดีก็ถวายช้างศึกทั้งสองเชือกคืน เพราะช้างศึกทั้งสองเชือกอาละวาดไม่อาจควบคุมได้</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"> สงครามครั้งนี้ยุติลงแล้ว ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ มีแต่ความพ่ายแพ้และสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ มหาสงครามสะท้านนรกในคืนนั้น ยังเป็นที่กล่าวขวัญ บันทึกถึงความน่ากลัวสืบต่อมา สงครามที่แม้นรกก็ยังครั่นคร้าม ภาพของทหารสองฝ่ายล้มตายกลาดเกลื่อน ภาพพระเพลิงที่ลุกโชติช่วง แม้เราซึ่งเป็นคนในปัจจุบัน ไม่อาจจะมองเห็นภาพที่น่ากลัวนั้นได้ แต่จากบันทึกของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น ก็พอจะทำให้เราจินตนาการได้ถึงความน่ากลัวของสงครามขั้นแตกหักในครั้งนี้ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p> อาศัยภาพจินตนาการ ขอบันทึกภาพ มหาสงครามสะท้านนรก นี้ไว้ว่า </p><p></p><p>ระดมสาดศรศัตราวุธ อึงอุดโห่ก้องโกลาหล </p><p>ท่ามกลางพายุที่อึงอล อสุนีก้องจนถึงโลกันต์ </p><p>เพลิงผลาญราญรอนไอระอุ ฟืนปะทุโหมเปลวร้อนมหันต์ </p><p>พระนครร้อนแรงยิ่งตะวัน แผ่นดินสั่นลั่นเลื่อนสะเทือนไกล </p><p>ทวยหาญมอญพม่าดารดาษ หมายพิฆาตแตกหักจักให้ได้ </p><p>อโยธยากล้าแกร่งป้องกันภัย ยืนหยัดด้วยใจคนกล้าจริง </p><p>กำแพงแกร่งสูงใหญ่เยี่ยงหินผา มอญพม่าโหมรุกไม่หยุดนิ่ง </p><p>สี่ชั่วโมงปืนหนักระดมยิง ชีวิตทิ้งเกลื่อนไปในกำแพง </p><p>กัมปนาทก้องกึกฟ้าพิโรธ สงครามโหดดั่งนรกมากลั่นแกล้ง </p><p>กี่หมื่นพันศพดาษเลือดสาดแดง หัวใจแกร่งเท่านั้นจะหยัดยืน </p><p></p><p> </p>
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวครับ ผมเป็นคนที่ชอบศีกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างมาก
ขออนุญาติจัดเก็บครับ แล้วจะแวะเวียนมาเสมอ
การบรรยายเหตุการณ์ด้วยบทกลอน มองเห็นภาพเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดีและสะเทือนอารมณ์กว่าบรรยายแบบธรรมดา
ขอบคุณที่ค้นคว้ามาให้อ่านโดยไม่ต้องออกแรง ขอบคุณมากๆๆครับ
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ ยินดีครับ ผมจะพยายามเขียนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ให้มากขึ้น
สวัสดีครับ
ขอบคุณครับ ผมเขียนเรื่องใหม่ให้อ่านแล้วนะครับ