มาตราฐานโลก (และกฎหมาย) ของนักธุรกิจในการ "คิดค้นสิ่งใหม่"


ใน บันทึกก่อนหน้านี้ ผมได้เล่าถึงมาตราฐานโลกของนักวิชาการในการ "คิดค้นสิ่งใหม่" เอาไว้ดักคอฝรั่งที่มาอ้างตัวเป็นนักวิชาการว่าคิดค้นสิ่งโน้นสิ่งนี้แล้วหาประโยชน์จากโลกที่สามอย่างประเทศไทยเราครับ

มาในบันทึกนี้ผมจะเล่าถึงมาตราฐานโลก (และกฎหมาย) ของนักธุรกิจในการ "คิดค้นสิ่งใหม่" ไว้ดักคอฝรั่งที่ทำทีมาแนวกึ่งนักวิชาการกึ่งนักธุรกิจมาหากินกับคนไทย

** ต้องมีสิทธิบัตรถึงจะเรียกว่า "คิดค้น" **

ในการ "คิดค้นสิ่งใหม่" ในวงการธุรกิจนั้น เพื่อประกาศว่านักธุรกิจนั้นเป็น "เจ้าของ" สิ่งใหม่นั้นจริงๆ เขาจะต้องจด "สิทธิบัตร" (patent) เพื่อความคุ้มครองในสิทธิ์ของการประดิษฐ์นั้นๆ ครับ

การจดสิทธิบัตรนั้นเป็นการแสดงว่าบุคคลผู้นั้นหรือองค์กรธุรกิจนั้นเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่อ้างนั้นจริงๆ ไม่ได้กล่าวขึ้นมาลอยๆ เพราะหน่วยงานรับจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศหรือของประเทศต่างๆ นั้น เขาเข้มงวดมากในการตรวจสอบความถูกต้องของการคิดค้นว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่จริง ไม่ใช่แอบอ้างเอาสิ่งที่คนอื่นประดิษฐ์ไว้แล้วและมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมาถือโอกาสจดสิทธิบัตรครับ

สิ่งที่คนอื่นประดิษฐ์ไว้แล้วและมีการใช้งานอย่างแพร่หลายแม้ไม่มีสิทธิบัตรเขาเรียกว่า "prior art" ครับ แม้จะยังไม่มีใครนำมาจดสิทธิบัตร ก็ไม่มีใครสามารถนำมาจดสิทธิบัตรได้

เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะถ้าเกิดอนุญาตให้ใครที่นึกอยากจดสิทธิบัตรเรื่องที่มีอยู่แล้วเรื่องอะไรก็ได้ ป่านนี้คนไทยจะตำส้มตำกินก็อาจจะต้องจ่ายค่าใช้สิทธิบัตรในการตำส้มตำให้ฝรั่งผู้เป็นเจ้าของ "สิทธิบัตรวิธีการตำส้มตำ" ครับ

ที่จริงเรามีปัญหาว่าฝรั่งเอาภูมิปัญญาไทยไปจดสิทธิบัตรไปขายทั่วโลกมาหลายต่อหลายครั้งแล้วครับ แต่ตอนนี้ฝรั่งเริ่มมาแปลก เริ่มมาอ้างว่าตัวเองคิดค้นสิ่งโน้นสิ่งนี้แล้วมาขายคนไทย ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิบัตร เป็น prior art ชัดๆ

ดังนั้นถ้าจะดูว่าฝรั่งคนไหน "คิดค้น" สิ่งที่เขากล่าวอ้าง และจะเอามาขายคนไทย ต้องขอดูสิทธิบัตรของเขานะครับ

ถ้าไม่มีแสดงว่าไม่ได้คิด ไม่ว่าจะพูดชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างไร ก็แสดงว่าเขาไม่ได้คิด ต้องระวังครับ เรื่องอย่างนี้ฝรั่งชอบมั่วเพื่อขายของ แต่เงินบาทที่เกิดขึ้นจากหยาดเหงื่อและแรงงานของคนไทยไม่ได้มีไว้แจกฝรั่งคนไหนที่อยากได้ครับ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่จ่าย เราจะจ่ายก็ต่อเมื่อสมเหตุสมผลที่จะจ่ายครับ เราจะจ่ายให้ "ตัวจริง" ผู้มีสิทธิบัตรเท่านั้นครับ

** จดเครื่องหมายบริการไว้แล้ว จะถือว่าคิดค้นสิ่งนั้นได้หรือไม่ **

มีฝรั่งบางพวกมาจดเครื่องหมายบริการ (service mark) ไว้ในประเทศไทย แล้วอ้างตัวว่าเป็นคนคิดค้นสิ่งนั้น

เรื่องนี้สำคัญมากที่เราต้องช่วยกันบอกต่อๆ กันไปไม่ให้คนไทยต้องตกเป็นเหยื่อทางการค้าของบุคคลเหล่านี้

เครื่องหมายการค้า (trademark) หรือ เครื่องหมายบริการ (service mark) นั้น ความหมายก็คือ "เครื่องหมาย" ครับ เป็นสัญลักษณ์ (หรือ "รูป" นั่นเอง) ที่บอกถึงสินค้าหรือบริการของเจ้าของเครื่องหมาย

ถ้าสินค้าเป็นชิ้นจับต้องได้ ก็จะจด "เครื่องหมายการค้า" หากสินค้านั้นเป็นบริการ (อาทิเช่นการอบรมสัมมนาต่างๆ) ก็จะจด "เครื่องหมายบริการ" ครับ

แต่เครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการไม่ได้บอกว่าบุคคลผู้เป็นผู้คิดค้นสิ่งที่เขาผลิตมาขาย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสินค้าหรือบริการครับ

ตัวอย่างเช่น บริษัท McDonald's หรือ Burger King ไม่เคยประกาศตัวเลยว่าเขาเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นแฮมเบอร์เกอร์ครับ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะมีโอกาสได้ถูกยึดเครื่องหมายการค้าคืนและได้ไปคุยกับคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในฐานะโฆษณาสินค้าและบริการเกินจริงแน่นอนครับ ลองอ่าน "สิทธิผู้บริโภค 5 ประการ" ของ สคบ. ดูนะครับ

เรื่องนี้ต้องบอกต่อกันให้คนไทยเข้าใจถูกต้องครับ และหากฝรั่งคนไหนมาแอบอ้างว่าเครื่องหมายบริการที่เขามีนั้น หมายความว่าเขาเป็นผู้คิดค้นสิ่งนั้น รีบรายงาน สคบ. ได้เลยครับ เดี๋ยวนี้ส่งเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ง่ายมาก สามารถกรอกแบบฟอร์มในไซต์ได้เลย หรือ download แบบฟอร์มมาก็ได้ หรือส่งทางอีเมลก็ได้อีกเช่นกันครับ ต้องขอชื่นชม สคบ. มากที่ให้บริการเรื่องนี้อย่างสะดวกครับ

นี่ผมยังไม่ได้ร้องเรียนกับ สคบ. นะครับ แต่ถ้าฝรั่งไม่หยุดโฆษณาเกินจริงก็คงต้องพึ่งพา สคบ. ครับ ประเทศไทยของเรา คนไทยของเรา เราก็ต้องช่วยกันปกป้องดูแล เงินบาทของคนไทยทุกบาทไม่ได้มีไว้ให้ใครเอาออกนอกประเทศง่ายๆ ครับ

** ทำไมต้องเขียนบันทึกนี้ **

เรื่องนี้สำคัญมากครับ ประเทศไทยเราถูกจ้องเอาเปรียบจากชาวต่างชาติอยู่ตลอดเวลา ในอดีตเขายกเรือปืนมายึดหัวเมืองเราเป็นเมืองขึ้น ต่อมาเขาก็มาทำสัญญาเอาเปรียบคนไทยในแบบต่างๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ก็มีฝรั่งมาบอกว่าคิดค้นสิ่งโน้นสิ่งนี้แล้วจะจัดอบรมเก็บเงินคนไทย ทั้งๆ ที่มี prior art ของสิ่งที่เขาอ้างนั้นที่ทำโดยคนไทยให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตามาตั้งแต่โบราณ ถ้าพวกเราคนไทยที่รู้เท่าทันฝรั่งเหล่านี้ไม่ออกมาช่วยกันปกป้องประเทศไทยไว้ แล้วต่อไปจะเหลืออะไรในประเทศไทยให้ลูกหลานได้ภาคภูมิใจครับ

ผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนไทย ที่ต้องไม่ปล่อยให้คนไทยร่วมชาติเป็นเหยื่อทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมจากชาวต่างชาติครับ

หมายเลขบันทึก: 148276เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2007 22:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มีนาคม 2012 21:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ปัญหาของเรื่องสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค้านั้นจะดูตื้นๆ เพียงแค่การละเมิดและการจับกุมปราบปรามไม่ได้

แต่จริงๆ  เป็นเรื่องของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติในอีกมุมหนึ่ง คือ การขาดดุลชำระเงิน และดุลการค้าภาคบริการ

เรื่องของยา   มีการคุ้มครองสิทธิบัตรยาวนานถึง 20 ปี ทำให้ราคายาแพง และคนยากจนต้องเสียชีวิตเพราะจ่ายค่ายาไม่ไหว

รู้สึกว่า   บิล เกตส์  จะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรรายใหญ่ที่สุดของโลก นะคะ ไม่ทราบใช่แน่หรือเปล่า

ประเทศเราเอง ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า  ชื่อแมกาซีน ชื่ออาหาร หนัง ซอฟแวร์  เป็นเงินมากมาย  พอๆกับขายข้าวทั้งปี

แต่ว่า ที่อาจารย์ พูดถึง คืออะไรคะ ........

เหมือนไปเจอประเด็นอะไรมา ;-).
ผมวางแผนจะเขียนเรื่องนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องครับ

ประเทศไทยเราถูกจ้องเอาเปรียบจากชาวต่างชาติอยู่ตลอดเวลา ในอดีตเขายกเรือปืนมายึดหัวเมืองเราเป็นเมืองขึ้น ต่อมาเขาก็มาทำสัญญาเอาเปรียบคนไทยในแบบต่างๆ ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

 

  • คงเป็นปัญหา "ผีคู่โลง" มั้งครับ ?
  • ฝ่ายหนึ่ง จ้องเอาเปรียบ
  • อีกฝ่าย ก็ชอบเสียด้วย ซ่อนอยู่ใต้คำว่า ตามเขาเพื่อให้ "หรู ดูดี ฉลาด ทันโลก"
  • ผมเคยขับรถผ่านต่างจังหวัด ได้กลิ่นเหม็นเน่าของน้ำเสียโรงงาน
  • ผมคิดในใจ "โรงงานนี่ ต้องได้มาตรฐานคุณภาพอะไรซักอย่าง"
  • จริงตามนั้น...เป็นมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม ติดป้ายซะหรูหรา ดูไม่จืด

 

ตามมาเยี่ยมยาม สอบถามหลาน คลอด หรือ ยัง ครับ

เรื่องของสิทธิบัติผมเองก็สนใจอยู่เหมือนกันครับ วันก่อนไปเข้าอบรมกับ อ.ปราโมทย์ เจ้าของเว็บไซค์ต่อยอด.คอม อาจารย์บอกว่าเราสามารถเข้าไปสืบค้นข้อมูลสิทธิบัตรที่มีอยู่ถึง 50 ล้าน สิทธิบัตรที่คนไทยสามารถนำมาประดิษบ์คิดค้น ไม่ว่าจะทำแบบ reverse engineering หรือ retrofit ก็ได้ จะ C&D หรือ R&D ก็ได้  แต่ปัญหาที่เจอน่าจะอยู่ที่จุดเริ่มต้นครับ เพราะเอกสารส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ เลยทำให้ยากต่อการนำมาพัฒนา ผมเองก็ได้ข้อมูลใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับความก้าวหน้าทางด้าน ว และ ท จากต่างประเทศ อย่าล่าสุดมีรายงานเกี่ยวกับ นาโนเทคโนโลยี ของอเมริกา ที่น่าสนใจ ว่าประเทศเค้าก้าวไปถึงไหนแล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

เรียนท่าน อ.หมอ JJ: หลานยังไม่คลอดเลยครับ ถ้าคลอดเมื่อไหร่ผมจะรีบเขียนบันทึกเล่าในบล็อกครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท