ปัจจุบันการทำเกษตรที่มีอยู่ ผมยังไม่ค่อยเห็นใครประยุกต์ใช้แนวคิดเกษตรครบวงจร เหมือนกับภาคธุรกิจเลย
ข้อดีของการทำธุรกิจครบวงจร จะทำให้เกิดกำไรสูงสุดภายใต้ต้นทุนต่ำสุดที่ควบคุมได้ เริ่มจากมีการ สร้างหน่วยธุรกิจ ให้เกิดความสอดคล้อง ต่อเนื่องกัน ยกตัวอย่างเช่น ปตท. บริษัทยักษ์ในปัจจุบัน ถ้าสังเกต จะพบว่า เขาเริ่มจากธุรกิจซื้อขายน้ำมัน แล้วขยายเพิ่มธุรกิจกลั่นน้ำมัน เมื่อมีกากปริโตเคมีจากการกลั่นน้ำมัน ปตท. ก็ขยายเพิ่มธุรกิจเม็ดพลาสติกต่อ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าโครงสร้างธุรกิจครบวงจรจะสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตในทอดต่อๆ ไปได้ จึงทำให้ธุรกิจที่ขยายเพิ่มทีหลังสามารถสร้างดอกผลให้กับ บริษัทแม่อย่าง ปตท. ได้เป็นกอบเป็นกำ
ดังนั้น ถ้าเรานำแนวคิดการครบวงจรมาประยุกต์ใช้กับการเกษตร ก็น่าจะเกิดประโยชน์ไปในทางเดียวกัน เช่น ถ้าเกษตรกร ท่านใด เริ่มต้นด้วยการเลี้ยงสัตว์ ก็อาจจะขยายกิจกรรมทางเกษตรไปได้ทางแนวลึกและแนวกว้าง เช่น
เม็ดพันธุ์ <---- ปลูกพืชอาหารสัตว์ <----- ผลิตอาหารสัตย์ขาย <---- {เลี้ยงหมู} ----> จำหน่ายพันธุ์หมู ---> แปรรูป ไส้กรอก หมูกรอบ ------> ร้านอาหาร
รูปแบบข้างต้น ผมเชื่อว่าจะทำให้เกิดการประหยัดในระบบการทำเกษตรได้ และในที่สุดก็จะสร้างดอกผลจากการทำการเกษตรอย่างมาก นำไปสู่การทำเกษตรแบบไร้ต้นทุน
และเมื่อถึงขั้นทำเกษตรแบบไร้ต้นทุนได้ ไม่ว่าราคาสินค้าเกษตรตลาดโลกจะตกต่ำ ย่ำแย่ ยังไง ก็ไม่กระทบ เพราะต้นทุนการทำเกษตรของเราเป็นศูนย์ จึงมีแต่ได้กับได้
ท่านใดมีความคิดเห็นเป็นประการได้บ้างครับ