Proceedings มหกรรมจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ ๒ (๒๖)_๑
ภาพรวมของเนื้อหากิจกรรมนิทรรศการและ KM Tour
ภายในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2
“เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง” วันที่ 1-2 ธันวาคม
2548 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ กรุงเทพ ฯ
มีการแสดงนิทรรศการ 29 ตัวอย่าง “คลังความรู้มีชีวิต” จาก 5
ภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนการจัดการความรู้ (KM)ในสังคมไทย ได้แก่
พลังภาคี : การส่งเสริมและการเรียนรู้ KM,
การจัดการความรู้ภาคประชาสังคม,
การจัดการความรู้ภาคราชการไทย, การจัดการความรู้
ภาคการศึกษาและการจัดการความรู้ ภาคเอกชน
ในการนำเสนอภาพรวมของเนื้อหากิจกรรมดังกล่าว ก็เพื่อให้เห็นถึง
1) วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการจัดการความรู้ขององค์กร 2)
ขั้นตอนกระบวนการและเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ขององค์กรนั้น
3) ผลของการจัดการความรู้ก่อให้เกิดความรู้
และการเผยแพร่รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากความรู้ 4)
การขยายผลหรือแนวทางในการยกระดับงาน
รวมทั้งข้อสังเกตที่เป็นปฏิกิริยาของผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับนิทรรศการนั้น
ๆ โดยรวม
จากการสังเกตกิจกรรมนิทรรศการและ KM Tour
ทั้งจากเอกสารเผยแพร่ในงาน ป้ายนิทรรศการและปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมงาน
พบว่า การนำเสนอผลงานของแต่ละองค์กรในนิทรรศการนั้น
อาจสะท้อนการเคลื่อนตัวที่แตกต่างกันไปในเรื่องของการจัดการความรู้
ที่อาจสอดคล้องกับประเด็นทั้ง 5
ข้างต้นมากน้อยแตกต่างกันไปบ้างตามพัฒนาการของการดำเนินงานในแต่ละองค์กร
โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1.พลังภาคี :
การส่งเสริมและการเรียนรู้
KM
1.1
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.)
เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนขบวนการจัดการความรู้ในสังคมไทย
มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
มุ่งหวังขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ในทุกภาคส่วนของสังคม
ด้วยการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า การจัดการความรู้ (knowledge
manangement)
ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มผู้ปฏิบัติการจัดการความรู้ตัวจริงที่อยู่ในชุมชนต่าง
ๆ โดยที่
สคส.ให้การสนับสนุนด้านกระบวนการในการนำการจัดการความรู้ไปสู่การปฏิบัติให้แก่หน่วยงานหรือชุมชนอื่นๆ
ที่สนใจนำการจัดการความรู้ไปใช้จริง มีเป้าหมายชัดเจน
มีแผนงานรองรับทั้งระยะสั้นและระยะยาว นอกจากนี้
สคส.ยังส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้
และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้เชื่อมโยงหลักการและวิธีการจัดการความรู้เข้าสู่โครงการเพื่อสังคมที่มีการดำเนินการอยู่แล้ว
อีกทั้งจัดมหกรรมความรู้
หรือตลาดนัดความรู้เพื่อเคลื่อนสังคมไปสู่ความเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
สังคมเรียนรู้
นอกจากภารกิจหลักในการเสาะแสวงหาและกระตุ้นให้สังคมขับเคลื่อนชุมชนเพื่อไปสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ดังกล่าวแล้ว
ภายในองค์กรของ
สคส.เองยังนำการจัดการความรู้เข้ามาผนวกกับเนื้องานที่ดำเนินการได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย
เริ่มตั้งแต่สิ่งแวดล้อมสถานที่ทำงานที่อากาศปลอดโปร่ง
ไม่ทึบด้วยผนังกั้นห้อง มีระบบการทำงานที่สามารถปรับปรุง
เปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ สมาชิกทุกคนมีอิสระทางความคิด
มีโครงสร้างการทำงานแบบระนาบเดียว
ภายหลังเสร็จภารกิจจะมีกระบวนการทบทวนผลการทำงานด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า
การถอดบทเรียนหลังการปฏิบัติการ(after action review : AAR)
โดยใช้เทคนิคสุนทรียสนทนา
มีการสื่อสารระหว่างกันแบบพบปะเห็นหน้าซึ่งกันและกัน (face to
face,f2f )ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
เพื่อระดมความคิดนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ
ขึ้นในโอกาสต่อไป มีเวทีประชุมประจำสัปดาห์ มีการบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ
ไว้เป็นคลังความรู้
ที่จะกลับมาสืบค้นหรือปรับปรุงข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนางานในครั้งต่อ
ๆ ไป
อีกทั้งยังมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มผู้ปฏิบัติอีกด้วย
อาจกล่าวได้ว่า
เครื่องมือการจัดการความรู้ที่
สคส.นำมาประยุกต์ใช้ในการเผยแพร่สู่สังคมนั้น
ส่วนใหญ่จะเน้นเครื่องมือที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง อันได้แก่ (1)
แผนภูมิแม่น้ำ (river diagram) ,ตารางแห่งอิสรภาพ,
บันไดแห่งการเรียนรู้, พื้นที่ประเทืองปัญญา “BA” , ขุมความรู้, (2)
เพื่อนช่วยเพื่อน(peer assist), (3) โมเดลปลาทู (4)
โมเดลฝูงปลาตะเพียน (5) การถอดบทเรียนหลังการปฏิบัติการ (after
action review : AAR) (6) เรื่องเล่าเร้าพลัง (storytelling) (7)
สุนทรียสนทนา (dialogue) และ (8) บล็อก (blog)
ผลของการดำเนินการที่ผ่านมาเกิดเป็นชุดความรู้ต่าง ๆ
ที่ผลิตออกมาทั้งในรูปแบบของเอกสารสิ่งพิมพ์ วีซีดี
และบทความที่เผยแพร่ผ่านทางบล็อก
การสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก ขอเอกสาร
และถ่ายรูปเก็บไว้
แต่ไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้ชมกับหน่วยงาน
ทั้งนี้อาจเนื่องจาก
การแสดงนิทรรศการดังกล่าวไม่มีผู้แทนจากหน่วยงานมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เข้าเยี่ยมชม
1.2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) :
องค์กรสร้างความรู้กับการจัดการความรู้
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
เป็นองค์กรแห่งการสร้างองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งย่อมหมายความว่าองค์กรเองก็ควรเป็นองค์กรที่เรียนรู้ด้วยเช่นเดียวกัน
สกว. ได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการองค์กรมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ประจำการ (program officer: PO)
สกว.ได้นำกระบวนการจัดการความรู้เข้ามาใช้ในการพัฒนา โดยมุ่งหมายว่า
การจัดการความรู้จะเป็นเครื่องมือช่วยทำให้กระบวนการบริหารจัดการงานวิจัยมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
และการบริหารจัดการภายในองค์กร
การสร้างกระบวนการจัดการความรู้จึงมุ่งไปที่คนทำงานในสองส่วนคือ
นักวิจัย และเจ้าหน้าที่ของ สกว.
ซึ่งสองส่วนต้องทำงานเกี่ยวข้องกัน
ในการดำเนินการดังกล่าว
สกว.ใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือในพัฒนาศักยภาพพนักงานด้วยการประเมินพนักงานประจำปีโดยให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วม
ในระยะแรกดำเนินการจัดการความรู้ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ประจำการ
จัดให้มี workshop เริ่มด้วย 1)
สมาชิกร่วมกำหนดเป้าหมายในการจัดการความรู้ คือ
การเป็นเจ้าหน้าที่ประจำการมืออาชีพ 2) ค้นหาองค์ประกอบหลัก(core
competencies) ของความเป็นเจ้าหน้าที่ประจำการ
โดยใช้กระบวนการเล่าเรื่องจากความภูมิใจของพนักงาน 3)
ร่วมกันกำหนดเกณฑ์ในการประเมินพนักงานตามองค์ประกอบหลักของการเป็นเจ้าหน้าที่ประจำการมืออาชีพตามที่สรุปได้
การดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ
แบบประเมินพนักงานที่เป็นผลจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นเครื่องมือที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดีขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ยังพบว่า กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับผู้บริหารดีขึ้น
สำหรับแนวทางหรือแผนงานในอนาคต สกว.
มุ่งจะการสร้างระบบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ซึ่งเป็นกลไกของการจัดการความรู้ขึ้นในองค์กร
อนึ่ง การสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก ขอเอกสาร
และถ่ายรูปเก็บไว้
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้ชมกับหน่วยงานไม่มากนัก
1.3
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
กับการจัดการความรู้
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เป็นองค์กรอิสระที่สนับสนุนให้องค์กร ภาคี เครือข่ายต่างๆ
นำกระบวนการ/วิธีการจัดการความรู้ในภาคธุรกิจมาปรับใช้ในการพัฒนาสังคม
ด้วยเหตุนี้ สสส.
จึงสนับสนุนให้เกิดสถาบันการจัดการความรู้เพื่อสังคมหรือ สคส.
เพื่อดำเนินการจัดการความรู้ในบริบททางสังคมไทยอย่างเป็นระบบ
และขยายแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการความรู้ไปสู้ภาคีเครือข่ายอื่น ๆ
ในสังคม
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสกัดความรู้
ความคิดของกลุ่มคนที่มีเป้าหมายเดียวกันที่มุ่งหวังให้เกิดสิ่งดี ๆ
ขึ้นในสังคม
เพื่อนำความรู้ดังกล่าวมาใช้ในการขับเคลื่อนสังคมต่อไป
นอกจากนี้ยังได้เริ่มดำเนินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในสำนักงานของ
สสส. เองอีกด้วย เพื่อใช้ในการพัฒนา สสส. ให้เป็นองค์กรเรียนรู้
ในการดำเนินงานดังกล่าว สสส.
เข้าไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ
โดยพิจารณาจากเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแต่ละเครือข่ายเป็นหลัก
โดยเข้าไปมีส่วนร่วมในการให้การสนับสนุนให้การแลกเปลี่ยนดำเนินไปได้ด้วยดี
ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้ทุน
อย่างไรก็ตามจากการสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมงาน พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ
แต่ไม่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้ชมกับหน่วยงาน
ทั้งนี้เนื่องจากการแสดงนิทรรศการดังกล่าวไม่มีผู้แทนจากหน่วยงานมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เข้าเยี่ยมชม
1.4 HA
กับการจัดการความรู้ในโรงพยาบาล
สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล
สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล(พรพ.)
เป็นองค์กรที่ประยุกต์ใช้การจัดการความรู้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล
โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การสร้างกระบวนการเรียนรู้
และใช้ความรู้ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ
อีกทั้งส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพ
รวมทั้งการแสวงหาความรู้ที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ของโรงพยาบาล
โดยมีการประเมินและรับรองเป็นแรงจูงใจและให้กำลังใจ
ในการดำเนินงานพรพ.ผสมผสานระหว่างแนวคิด หลักการและกระบวนการของ HA
(hospital accreditation) และ KM (knowledge management) เข้าด้วยกัน
โดยจะเน้นในหลักการจัดการความรู้มากกว่ารายละเอียด
ดังนั้นในกระบวนการจัดการความรู้ในรูปแบบของ
พรพ.จึงอาจไม่ครบทุกขั้นตอน
แต่มีการเลือกใช้ขั้นตอนของการจัดการความรู้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละโรงพยาบาล
ซึ่งมีกิจกรรมหลักได้แก่
รวบรวมและสร้างองค์ความรู้/แนวทางการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล
สร้างความตื่นตัว เผยแพร่ความรู้ ฝึกอบรม
กระตุ้นการพัฒนาต่อเนื่องเป็นลำดับขั้น
สร้างเครือข่ายความร่วมมือ/เครือข่ายการเรียนรู้ และประเมิน
รับรองคุณภาพ
อนึ่ง
ในการสังเกตปฏิกิริยาของผู้เยี่ยมชมนิทรรศการ พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก ขอเอกสาร
และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้เยี่ยมชมนิทรรศการกับหน่วยงานไม่มากนัก
1.5 การจัดการความรู้
“แก้ไขปัญหาหนี้สินโดยชุมชน”
ขบวนองค์กรชุมชนและสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน)
มีแนวทางการพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ทั้งในหมู่ผู้ปฏิบัติงาน(เจ้าหน้าที่)และขบวนการองค์กรชุมชน
โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ปฏิบัติงาน(เจ้าหน้าที่)และแกนนำชุมชน
ซึ่งทั้งสองส่วนต้องประสานการทำงานร่วมกัน
ในระยะแรกสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนเริ่มกระบวนการจัดการความรู้ด้วยการพัฒนาทักษะการจัดการความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของหน่วยพัฒนาขบวนการเศรษฐกิจและทุนชุมชนที่รับผิดชอบงานด้านนี้
ร่วมกับส่วนประเมินผลและพัฒนาองค์ความรู้
โดยใช้ประเด็นการแก้ไขปัญหาหนี้ของชุมชนเป็นต้นแบบเพื่อหาแนวทางการขับเคลื่อน
และนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานจริงร่วมกับชุมชน
เริ่มด้วยกำหนดเป้าหมาย/พันธกิจของการจัดการความรู้ร่วมกันของขบวนองค์กรชุมชน
คือ “การแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยชุมชน” เป็นเป้าหมายร่วม,
มีกระบวนการจัดการความรู้ในชุมชนต่าง ๆ
โดยเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของหน่วยพัฒนาขบวนการเศรษฐกิจมีบทบาทในการเป็น
“คุณอำนวย”
จัดกระบวนการจัดการความรู้ในชุมชนที่มีประเด็นในการจัดการความรู้ที่แตกต่างหลากหลาย
(เช่น การบูรณาการกองทุนชุมชน,
การพัฒนาที่อยู่อาศัยและการใช้หนี้สินเพื่อการพัฒนา เป็นต้น)
โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินการจริงในพื้นที่
มีการสนับสนุนชุมชนอย่างต่อเนื่อง
ผสานวิธีการทำงานร่วมกันระหว่างจ้าหน้าที่และแกนนำชุมชน
ใช้กระบวนการเพื่อนช่วยเพื่อน
ให้ระหว่างชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเอง
ผลลัพธ์สำคัญที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ผ่านมาเกิดเป็นคลังความรู้เรื่อง
กระบวนการแก้หนี้สินโดยชุมชนและสร้างเครือข่าย
ที่ประกอบด้วยชุดความรู้ย่อยในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
การบูรณาการกองทุนชุมชน การพัฒนาที่อยู่อาศัย เป็นต้น
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันผ่านตลาดนัดความรู้
“การแก้ไขปัญหาหนี้สินโดยชุมชน”
เพื่อถอดรูปธรรมความสำเร็จร่วมกันและนำประสบการณ์ ความรู้
เทคนิควิธีการใหม่ ๆ
ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองและขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นต่อไป
สำหรับปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก
ขอเอกสารและถ่ายรูปเก็บไว้
ในขณะที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เยี่ยมชมกับหน่วยงานมีไม่มากนัก
1.6 การใช้ระบบบล็อก GotoKnow.org
เพื่อการจัดการความรู้
บล็อก(blog)
เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่นำมาใช้ในการจัดการความรู้
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้เทคโนโลยีเพื่อการจัดการความรู้เชิงลึก
เป็นการบันทึกประสบการณ์ ความคิด
ความรู้และเทคนิคการทำงานสู่บุคคลอื่น
และจัดการความรู้สำหรับปัจเจกบุคคลและชุมชนนักปฏิบัติสำหรับเป็นขุมความรู้รวมของสังคมไทย
โดยใช้การบันทึกในรูปแบบของไดอารี่เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ ความรู้
ความคิดของตนเองผ่านทางอินเทอร์เน็ต มีการจัดกลุ่มของบันทึกแต่ละบันทึกด้วยคำถามหลัก
(key word) ที่แทนแก่นความรู้ของบันทึกนั้นๆ
มีสถิติแสดงจำนวนผู้เข้าชมและข้อคิดเห็นต่อบันทึกนั้นๆ
ผลลัพธ์สำคัญที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาคือ
ผู้เขียนบันทึกได้พัฒนาคุณภาพในการถ่ายทอดความรู้
การเขียน การฝึกคิด
ฝึกประมวลความรู้และต่อยอดความรู้ความคิดของตนเอง
นอกจากนี้ยังพบว่ามีการขยายไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย
โดยการเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
อนึ่ง
การสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก
ขอเอกสารและมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้เยี่ยมชมนิทรรศการกับหน่วยงานเกี่ยวกับกระบวนการในการจัดทำบล็อกค่อนข้างมาก
2.
การจัดการความรู้ภาคประชาสังคม(จัดการความรู้อัตโนมัติและจัดการความรู้ประยุกต์)
2.1 “ฟ้าสู่ดิน”
การจัดการความรู้ระดับชาวบ้าน
เครือข่ายชาวบ้านเขตอำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์
เห็นความสำคัญของดินที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตการทำมาหากินของชาวบ้านในการทำเกษตรกรรม
แต่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับไม่เอื้อต่อการเพาะปลูกที่ได้ผลดีนัก
จึงจำเป็นต้องหาความรู้และสร้างความรู้ที่เหมาะสมกับบริบทของชาวบุรีรัมย์
โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ
เพื่อศึกษาการสร้างความรู้และการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชาวบ้านโดยใช้กรณีศึกษาในการปรับปรุงดิน
เชื่อมโยงกิจกรรมและความรู้ต่างๆ สู่เครือข่ายปราชญ์ชาวบ้าน
สู่นักวิชาการ สู่เยาวชนพร้อมประมวลความคิด กิจกรรมความรู้ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
กระบวนการจัดการความรู้ฉบับชาวบ้านนี้เริ่มด้วยการระดมความคิดในชุมชน
ค้นหาภูมิปัญญาผู้รู้เรื่องดินในชุมชน
ผสานแนวคิดเชิงวิชาการร่วมกับนักวิชาการ
นักวิจัยและส่วนราชการในกรมกองต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรกรรม
ศึกษาดูงานจากเกษตรกรในภูมิภาคอื่นๆ
ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ระหว่างกัน
นำความรู้ที่ได้ไปทดลองปฏิบัติ
และมีเวทีในการแบ่งปันความรู้ที่ได้จากการทดลองปฏิบัติร่วมกัน
ผลจากการดำเนินการดังกล่าวทำให้สมาชิกในชุมชนสามารถแก้ปัญหาและปรับปรุงบำรุงดินของตนเองได้
เกิดเป็นชุดความรู้ในประเด็นต่าง ๆ
เกี่ยวกับดินที่สอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้านอย่างแท้จริง อาทิ
ชุดความรู้เรื่องการปลูกพืชคลุมดิน การสร้างหน้าดินโดยใช้ใบไม้กิ่งไม้
การปรับปรุงดินโดยใช้ต้นไม้ที่ทนแล้งเป็นตัวเบิกแล้วไถกลบคืนคุณค่าให้กับดิน
เป็นต้น สำหรับการเผยแพร่ความรู้ต่างๆ จะดำเนินการผ่าน “คุณอำนวย”
ในพื้นที่ การเพิ่มฐานการเรียนรู้ (พื้นที่ปฏิบัติการ)
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในฐานการเรียนรู้
นอกจากนี้ยังมีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ
และผ่านทางเว็บบล็อก
เมื่อชุมชนสามารถแก้ปัญหาของตนเองได้แล้ว
แนวทางในการดำเนินงานในระยะต่อไป
ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริงจะถูกแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันทั้งภายในเครือข่ายสมาชิกและนอกเครือข่าย
ผสมผสานกับความรู้จากนักวิชาการ
เกิดเป็นความรู้ใหม่ในเรื่องการทำการเกษตรอย่างรอบด้านเพื่อนำไปพัฒนาวิชาชีพของชาวบ้านได้อย่างแท้จริง
และคาดว่าจะเกิดความรู้ความเข้าใจในชุมชนของตนเองมากขึ้นเพื่อนำความรู้และความเข้าใจมาพัฒนา
ให้เกิด “คุณอำนวย” และ “คุณกิจ”
ที่มีประสิทธิภาพในชุมชนอย่างกว้างขวาง
อนึ่ง
การสังเกตปฏิกิริยาของผู้เข้าร่วมประชุม พบว่า
ส่วนใหญ่ให้ความสนใจอ่านป้ายนิทรรศการ จดบันทึก ขอเอกสาร
และมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างผู้เยี่ยมชมนิทรรศการกับหน่วยงานไม่มากนัก
2.2
การส่งเสริมการจัดการความรู้เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน จ.
สุพรรณบุรี
มูลนิธิข้าวขวัญเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเกษตรกรรมยั่งยืนและพัฒนาปรับปรุงอนุรักษ์พันธุ์ข้าวไทยร่วมกับสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคมดำเนินโครงการ
“การส่งเสริมการจัดการความรู้
เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน”
เพื่อชักชวนชาวนามาร่วมกันหาทางออก
เพื่อลดต้นทุนการผลิตและการพึ่งตนเอง
รวมทั้งสุขภาวะที่ดีของชาวนา ดำเนินการในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
โดยใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ
เพื่อส่งเสริมการจัดการความรู้เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนและพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรให้สามารถจัดการระบบเกษตรของตนเองได้
การส่งเสริมการจัดการความรู้เรื่องการทำนาข้าวในระบบเกษตรกรรมยั่งยืนของมูลนิธิข้าวขวัญ
เน้นการใช้กระบวนการจัดการความรู้ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
เริ่มตั้งแต่การกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์ที่ต้องการร่วมกันระหว่างมูลนิธิข้าวขวัญและเกษตรกร
ใช้กระบวนการกลุ่มและกระบวนการเรียนรู้จากการปฏิบัติของชาวนาผ่านกลไกโรงเรียนชาวนา
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
สรุปบทเรียนทั้งหมดของชาวนาและมูลนิธิร่วมกัน และขยายผลผ่านสื่อมวลชน
และสื่อเพื่อการเรียนรู้อื่น ๆ
ผลลัพธ์ที่สำคัญอันเกิดจากการดำเนินการดังกล่าวนอกจากองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำนาแบบเกษตรกรรมยั่งยืนแล้ว
ยังพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนชาวนาเกี่ยวกับเปลี่ยนวิธีคิด
กระบวนทัศน์และจิตสำนึก
เกิดการเรียนรู้ถึงกระบวนการทำนาแบบเกษตรกรรมยั่งยืน
มีความรู้เพิ่มพูนต่อยอดจากความรู้เดิมซึ่งเป็นความรู้ฝังลึก
จนเกิดเป็นผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ
เกี่ยวกับการทำนาแบบเกษตรกรรมยั่งยืนในทุก ๆ พื้นที่
ในส่วนของปฏิกิริยาของผู้คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับนิทรรศการนั้น พบว่า
ผู้เยี่ยมชมนิทรรศการให้ความสนใจ จดบันทึก
ขอเอกสารและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานค่อนข้างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสนใจเกี่ยวกับผลผลิตที่ได้จากการจัดการความรู้
เช่น การทำปุ๋ย เป็นต้น
2.3
การจัดการความรู้เครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์
สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับเกษตรกรในจังหวัดนครสวรรค์อันเป็นผลเนื่องมาจากการใช้สารเคมีในการทำเกษตรกรรมมาเป็นระยะเวลานาน
ส่งผลให้สภาพดินเสื่อม
ระบบนิเวศน์เปลี่ยนแปลงไปต้นทุนในการทำนาเพิ่มสูงขึ้น
วิถีชีวิตของเกษตรกรเปลี่ยนแปลงไป
กลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่มหรือเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์จึงเกิดขึ้น
โดยมีกลยุทธ์ของการดำเนินงานในรูปแบบของ “โรงเรียนชาวนา”
ที่เคยมีการดำเนินการอยู่ในหลายพื้นที่มาลองใช้กับชาวนานครสวรรค์
แต่มีกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเอง
โดยมีเป้าหมายที่จะใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการแก้ปัญหาเรื้อรังของการทำนา
เริ่มกระบวนการเรียนรู้โดยการจุดประกายความคิดเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาโดยใช้กระบวนการทบทวนปัญหาของเกษตรกรที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ค้นหาสาเหตุของปัญหาและแนวทางการแก้ไข
กำหนดเป้าหมายร่วมกัน
เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงภายใต้หลักสูตรที่โรงเรียนชาวนากำหนดขึ้น
เป็นการนำความรู้จากภายนอกมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับพื้นที่
โดยให้ความสำคัญกับการจดบันทึกรายละเอียดทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
นำผลที่ได้จากการปฏิบัติมาร่วมแลกเปลี่ยน
ในการดำเนินการดังกล่าวเกิดผลลัพธ์ที่น่าสนใจ คือ
เกษตรกรสามารถขยายเครือข่ายของตนเอ'ได้
เกิดเป็นชุมชนนักปฏิบัติที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่ม
ผลผลิตที่ได้จากการนำความรู้ที่ได้จากกระบวนการจัดความรู้ไปปฏิบัติมีคุณภาพดี
ทำให้นครสวรรค์เป็นศูนย์กลางค้าข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ
นอกจากการดำเนินงานภายในกลุ่มของตนเองแล้ว
แนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไปเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสรรค์จะขยายเครือข่ายภาคีการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เข้าไปทำงานร่วมกับชุมชนร่วมสนับสนุนและพัฒนาชุมชน
ขยายเครือข่ายนักเรียนชาวนาโดยใช้ระบบพี่สอนน้อง –
ศิษย์เก่าสอนศิษย์ใหม่ เกิดเป็นชุมชนนักปฏิบัติ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย Prof. Vicharn Panich ใน KMI Thailand
ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก