ถ้าใครตามข่าว IT อยู่ตอนนี้อาจจะเคยได้ยินข่าวลือว่า Google อาจจะทำมือถือออกมาขายบ้าง แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ Google ได้ประกาศออก Framework : Android ขึ้นมาซึ่งเป็นอะไรที่ผิดคาดพอสมควรโดยข้างในของ Android นั้นมีตั้งแต่ OS, Library, Framework, Software ที่ใช้ในการพัฒนา โดยจากรูปข้างล่างจะเห็นได้ว่าใช้ Linux kernel ซึ่งหมายความว่า Android นั้นเป็น OpenSource ทั้งหมด
ทีนี้หลายคนอาจสงสัยว่า Android นั้นใช้ภาษาอะไรในการพัฒนาซึ่งใช้กฎการเขียนแบบภาษา Java แต่ว่าข้างในนั้น Google พัฒนาเองเกือบทั้งหมด
ประเด็นต่อมาคือใครจะนำเอา Android ไปใช้ล่ะ ทาง Google ได้ชวนบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยวกับ mobile ทั้งหมดกว่า 34 บริษัท รวมตัวเป็น Open Handset Alliance ขึ้น ตัวอย่างบริษัทต่างๆ ที่ Google ชวนมา
จะเห็นว่ากูเกิลได้ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่มา 3 ราย คือ Motorola (อันดับ 2) Samsung (อันดับ 3) และ LG (อันดับ 5) ขาดแต่ Nokia กับ Sony Ericsson เท่านั้น ทั้งสามรายนี้มีส่วนแบ่งตลาดปัจจุบันรวมกัน 34.8% ของตลาดโลก (ตัวเลข Q207 จาก Gartner) ก็พอสู้กับ Nokia ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 36.9%
ตามรายชื่อนี้มีพี่เบิ้มมากันหมด ดังนั้นรับประกันได้ว่า Android จะไม่มีปัญหาขาดแคลนไดรเวอร์อุปกรณ์แน่นอน
ฮาร์ดแวร์พร้อมแล้ว เรามาดูว่ามีผู้ให้บริการเครือข่ายหรือโอเปอเรเตอร์เจ้าไหนมาร่วมแจมบ้าง (ข้อมูลตัวเลขจาก Wikipedia)
- China Mobile - ผู้ให้บริการมือถือที่มีลูกค้ามากที่สุดในโลก แค่จีนประเทศเดียวซัดไปแล้ว 350 ล้านเลขหมาย
- KDDI - เบอร์สองของญี่ปุ่น
- NTT DoCoMo - เบอร์หนึ่งของญี่ปุ่น
- Sprint Nextel - เบอร์สามของสหรัฐ
- T-Mobile - เบอร์หนึ่งของเยอรมนีและหลายประเทศในยุโรป รวมถึงเป็นเบอร์สี่ของสหรัฐ ถ้ารวมทั้งโลกอยู่อันดับหก
- Telecom Italia - เบอร์หนึ่งของอิตาลี
- Telefónica - เบอร์สามของโลก มาจากสเปน ปัจจุบันซื้อ O2 ไปครอบครองเรียบร้อยแล้ว
รายใหญ่ที่ขาดไปก็มีแค่ Vodafone, Orange, AT&T เท่านั้น ที่น่าสังเกตคือโอเปอเรเตอร์จากญี่ปุ่นมาถึงสองราย แถมเป็นสองรายใหญ่ และรูปแบบการผลิตเครื่องมือถือในญี่ปุ่นคือโอเปอเรเตอร์เป็นคนกำหนดสเปก เครื่อง
นอกจากสามหมวดหลักแล้วก็ยังมีบริษัทซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่พอคุ้นหน่อยก็เช่น eBay และ Wind River ตรงนี้คงไม่ต้องลงรายละเอียด และถึงแม้บริษัทเหล่านี้จะไม่ร่วมเป็นร่วมตายกับ Android แต่ว่าด้วยระดับของบริษัทที่กล่าวมานั้นเป็นที่น่าเชื่อถือพอสมควร โดยส่วนที่เหลือนั้นขึ้นอยู่กับวิทยายุทธของ Google แล้ว
ที่มา : Blognone
ไม่มีความเห็น