การเลี้ยงลูก คือ ภาระอันสำคัญและยิ่งใหญ่ของผู้เป็นพ่อแม่ เพราะนอกจากจะเป็นหน้าที่ซึ่งพ่อแม่ทุกคนควรทำให้ดีที่สุดแล้ว ยังเป็นบุญกุศลที่สำคัญอย่างหนึ่งด้วย เพราะการเลี้ยงลูกทำให้พ่อแม่ต้องใช้คุณธรรมหลาย ๆ ประการทีเดียว เช่น พรหมวิหาร ๔, ความอดทน(ขันติ),สติสัมปชัญญะ,การให้,การให้อภัย,ความเสียสละและการเป็นแบบอย่างที่ดีของลูกทั้งด้านความคิด การพูดและการกระทำ
ตลอดระยะเวลา ๑ ปีเต็มนับตั้งแต่ทราบว่าน้องพริมมาอยู่ในครรภ์ของแม่ จนกระทั่งบัดนี้น้องพริมอายุได้ ๓ เดือนเศษ ความหวัง ความตั้งใจต่าง ๆ บังเกิดขึ้นในความคิดของพ่อแม่มากมาย แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราทั้งสองในฐานะพ่อแม่ตระหนักมากก็คือ จะพยายามเลี้ยงดูลูกทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ให้มีความสมบูรณ์ที่สุดและเป็นคนดีของสังคมในอนาคตให้ได้ จึงพยายามทุกวิถีทางในการเตรียมความพร้อม รอวันที่ลูกคลอดออกมาลืมตาดูโลก จนกระทั่งวันที่ได้พบหน้ากันครั้งแรกมาถึงลูกพริมมีความสมบูรณ์ทุกอย่าง วันนั้นคุณพ่ออาจแอบภูมิใจลึก ๆ เพราะใคร ๆ ก็บอกว่าลูกหน้าตาเหมือนพ่อ ในส่วนของคุณแม่ก็สบายใจที่ลูกปลอดภัยและแข็งแรงสมบูรณ์
นับตั้งแต่วันนั้น การทำหน้าที่ของพ่อและแม่จึงเริ่มขึ้นอย่างเด่นชัด จวบจนวันนี้ประสบการณ์เลี้ยงลูกที่ผ่านมา แม้ไม่นานนัก (เพียง ๓ เดือนเศษ) แต่ก็มีอะไรดีๆมากมายที่อยากเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะหลักการเลี้ยงลูกแบบพอเพียง ซึ่งเราทั้งสองคนได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงดูน้องพริม โดยคำนึงถึงหลักการ ๓ อย่างได้แก่ ความพอประมาณ ความมีเหตุผลและการมีภูมิคุ้มกัน โดยอยู่บนพื้นฐานแห่งความรู้และคุณธรรม ดังนี้
๑. ความพอประมาณ อาหาร เสื้อผ้า ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิดต่าง ๆ ถือเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นในการเลี้ยงลูก เราทั้งสองพยายามวางแผนจัดซื้อจัดหาเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมกับรายได้ของครอบครัว โดยแม่ของน้องพริมจะใช้ความพิถีพิถันและรอบคอบเป็นอย่างมากในการซื้อหาสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องอาหาร ซึ่งในส่วนของแม่เองก็ต้องรับประทานให้ถูกหลักและเหมาะสม ตั้งแต่น้องพริมอยู่ในครรภ์แม่จะสนใจเรื่องอาหารมาก เช่น จะดื่มน้ำเต้าหู้แทนนมวัว ทุกวัน เพราะหาซื้อได้ง่าย มีราคาถูกกว่า มีผลดีต่อลูกในท้อง ทำให้ลูกไม่มีอาการโคลิกตอนเกิดมา(การร้องอย่างไม่มีสาเหตุ) ที่สำคัญเพราะคำนึงถึงเรื่องการให้นมลูก ซึ่งแม่มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงน้องพริมด้วยนมแม่เป็นหลักให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อย่างน้อยนมแม่อย่างเดียว ๓ เดือนแรก ถัดจากนั้นค่อยสลับกับนมผงบ้างตามความเหมาะสม แต่ก็จะพยายามไม่ให้ทิ้งนมแม่จนกว่าจะครบ ๖ เดือนเป็นอย่างน้อย) ในเรื่องการให้นมน้องพริม ช่วงแรก ๆ แม่ก็ยังไม่มีความชำนาญนัก จนบางครั้งก็ให้นมมากเกินไป ทำให้น้องพริมมีอาการแหวะนมบ่อยมาก จนพอสามารถจับทางได้ ก็กะให้พอดีกับความต้องการของเขา โดยมีคุณพ่อคอยให้สติอยู่เสมอ ๆ
ที่สำคัญ เมื่อคุณแม่ต้องออกนอกบ้านก็จะพยายามปั๊มนมแม่เก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อไว้ป้อนให้ลูกตอนหิว ตามหลักการที่ทางแพทย์ได้แนะนำไว้ เพื่อประหยัดเรื่องที่ต้องใช้นมผงทดแทน ซึ่งถือว่าเป็นวิธีที่ทำให้คุณแม่สบายใจมาก เพราะแม้ออกนอกบ้านน้องพริมก็ยังได้ดื่มนมแม่ซึ่งถือเป็นอาหารที่วิเศษที่สุดเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องเสื้อผ้าของใช้ต่าง ๆ เราทั้งสองก็พยายามจัดซื้อจัดหาพอประมาณ และไม่คำนึงว่าต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและราคาแพง โดยยึดหลักประหยัด เช่น การใช้ผ้าอ้อม ถ้าอยู่กับบ้านในช่วงกลางวันก็เน้นใช้ผ้าอ้อมผ้าธรรมดา แต่ถ้าออกนอกบ้านหรือช่วงกลางดึกก็จะใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นการประหยัดค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปไปในตัว ค่าใช้จ่ายในส่วนที่ประหยัดได้ก็สามารถเก็บไว้เป็นทุนสำรองในการเลี้ยงดูและส่งเสริมเรื่องการศึกษาในอนาคตต่อไป ที่สำคัญการใช้ผ้าอ้อมผ้าก็จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย ส่วนเสื้อผ้าบางส่วนนั้น แม่ของน้องพริมก็ได้เอาเสื้อผ้าเก่าของหลาน ที่ยังสามารถใช้ได้มาให้น้องพริมใส่ด้วย ซึ่งถือเป็นการประหยัดได้มากทีเดียว
๒. ความมีเหตุผล คำถามที่มักเกิดขึ้นในการเลี้ยงดูน้องพริมก็คือ ทำไมต้องซื้อสิ่งนั้น? ทำไมต้องทำอย่างนี้ ? เพื่อต้องการพิจารณากันว่า มีเหตุผลใดที่ต้องตัดสินใจทำสิ่งนั้น ๆ เช่น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แม่ของน้องพริมจะพยายามอ่านหนังสือ หาความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จนเห็นความสำคัญของนมแม่ว่า ประหยัด สร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความผูกพันที่ดีระหว่างแม่และลูก สะดวกในการเลี้ยงดูลูก ลูกรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้แนบอกดูดดื่มนมแม่ เป็นต้น นี่คือ เหตุผลที่พยายามจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหลัก
นอกจากนี้ในเรื่องอื่น ๆ ก็จะพยายามใช้เหตุผลเป็นเครื่องตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเอาใจใส่ในอากัปกิริยาต่าง ๆ ของลูก เวลาลูกร้อง ลูกแหวะนม หรือแสดงอาการผิดปกติอื่น ๆ พ่อกับแม่ก็จะตั้งคำถามในใจว่า “ทำไม” แล้วค่อย ๆ แก้อาการนั้นที่สาเหตุ เช่น บางครั้งลูกร้องแบบไม่ทราบสาเหตุ ก็จะลองให้นม เมื่อไม่หยุดร้อง เพราะอาจจะไม่หิว ก็ลองให้นอน พ่อก็จะคอยตบก้นเบา ๆ พร้อมกับเสียงกล่อม เขาก็หลับ แสดงว่าที่เขาร้องเพราะเหตุว่าง่วงนั่นเอง
เรื่องการอยู่ร่วมกันของพ่อและแม่ก็เหมือนกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญมากในการเลี้ยงลูก เพราะหากพ่อแม่ทะเลาะกัน ใช้อารมณ์ฉุนเฉียวต่อกัน ก็จะมีผลเสียต่อการเลี้ยงลูกด้วย และหากเขาเจริญเติบโตจนสามารถรับรู้ จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น การใช้อารมณ์โมโหโทโสระหว่างกันของพ่อและแม่ก็อาจจะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้ลูกได้ สิ่งหนึ่งที่เราทั้งสองในฐานะพ่อและแม่ของน้องพริมจะพยายามตั้งสติให้ได้เสมอในคราวที่มีเรื่องไม่พอใจหรือขัดแย้งกัน ก็คือ การแสดงเหตุผลของกันและกัน โดยเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายอธิบายและรับฟังซึ่งกันและกัน ซึ่งหากจะกล่าวว่าทุกอย่างสมบูรณ์ หรือลงรอยกันเต็มร้อยก็คงจะเกินความจริงไป การอยู่ร่วมกันย่อมมีความขัดแย้งกันบ้างเป็นธรรมดา แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ การพยายามไม่แสดงออกจนเป็นผลเสียไปถึงลูกและพยายามย้ำ เตือนตนเองอยู่เสมอว่า เรารักกันน่ะ ไม่เป็นไรน่ะ พยายามให้อภัยกันเสมอๆ
๓. การมีภูมิคุ้มกัน ตลอดเวลาที่เราทั้งสองดูแลลูกมา คำนึงเสมอว่า ในยุคปัจจุบันมีพิษภัยรอบด้านที่อาจเข้ามาทำลายสุขภาพทั้งของพ่อแม่และลูก การสร้างภูมิคุ้มกันไว้ถือเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะรับกับพิษภัยที่เราไม่คาดคิด โดยเฉพาะน้องพริมซึ่งอยู่ในวัยแรกเกิด ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เรื่องที่สำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้น้องพริมมี ๒ เรื่องหลัก ได้แก่
ประการแรก ภูมิคุ้มกันด้านร่างกาย อาหารของน้องพริม คือ นมแม่ เป็นหลัก ในนมแม่มีสารอาหารสำคัญที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้น้องพริมได้อย่างดีเยี่ยม เรื่องอากาศก็สำคัญ พ่อและแม่พยายามดูแลบ้านเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้มีฝุ่นละอองซึ่งอาจมีผลเสียต่อน้องพริมได้ นอกจากนั้น เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ก็ทำตามที่แพทย์นัดหมายมิได้ขาด
ประการที่สอง ภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ น้องพริมมีคุณพ่อเคยบวชเรียนมายาวนานถึง ๑๔ ปี จนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค คุณแม่ก็ชอบเข้าวัดปฏิบัติธรรม ชอบอ่านหนังสือธรรมะเป็นชีวิตจิตใจ จึงไม่แปลกที่น้องพริมจะได้ยินเสียงสวดมนต์ทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบ กล่าวได้ว่า เสียงสวดมนต์คือเพลงกล่อมของน้องพริมเลยทีเดียว แม้ตอนนี้การรับรู้และจดจำของน้องพริมอาจจะยังไม่ถึงขั้นสอนให้เข้าใจได้ แต่การที่พ่อและแม่พูดสิ่งดี แสดงออกในสิ่งดี ๆ สวดมนต์ พูดธรรมะบ่อย ๆ สอนแต่เรื่องดี ๆ อยู่เสมอ ๆ น่าจะทำให้น้องพริมเติบโตขึ้นเป็นเด็กที่มีสมาธิดี ว่านอนสอนง่าย มีธรรมะคุ้มครองตัว การปฏิบัติดังกล่าวของเราทั้งสองจึงถือว่าเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันด้านจิตใจที่สำคัญ และหวังอยู่ในใจว่า สังคมทุกวันนี้มีสิ่งไม่ดีมากมายหล่อหลอมเด็กและเยาวชนให้มีความประพฤติตกต่ำ เสื่อมทรามด้านศีลธรรมจริยธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลมาก หากวันนี้ น้องพริมมีภูมิคุ้มกันที่ดีทางด้านจิตใจ ในอนาคตพ่อและแม่จะได้เชื่อมั่นว่าน้องพริมจะไม่ถูกหล่อหลอมด้วยสังคมอันเลวร้ายนั้น และมีพลังภายในที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีงามได้อย่างน่าภาคภูมิใจ (ขอให้ความหวังนี้เป็นจริงเถิด...สาธุ ๆ ๆ)
หลักการทั้ง ๓ นี้ จะสมบูรณ์ได้สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ ต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้และคุณธรรม กล่าวคือ พ่อและแม่เองต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ๆ และมีคุณธรรมในใจเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งเราทั้งสองก็พยายามทำอย่างนั้นโดยการอ่านหนังสือ ปรึกษาแพทย์ สอบถามผู้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกเพื่อหาความรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การให้นม การดูแลอาการต่าง ๆ หรือการเตรียมพยาบาลเบื้องต้นหากน้องพริมมีปัญหาสุขภาพเรื่องต่าง ๆ เช่น เมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณพ่อก็ได้ซื้อหนังสือ การดูแลมารดาก่อนและหลังคลอดมาเล่มหนึ่ง ดีมาก เพราะมีสาระเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพแม่และลูก โดยเฉพาะเรื่องอาการป่วยของเด็กแรกเกิด ซึ่งบางครั้งก็เดาไม่ได้ ทายไม่ออกว่าลูกเป็นอะไร หนังสือเล่มนี้สามารถช่วยแนะนำวิธีการปฏิบัติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี อย่างนี้เรียกว่า เลี้ยงดูลูกบนพื้นฐานของความรู้
ในส่วนเรื่องคุณธรรม ดังที่กล่าวแล้วว่า ทั้งพ่อและแม่ของน้องพริมต่างมีวุฒิภาวะ คุณวุฒิและอัธยาศัยด้านคุณธรรม โดยเฉพาะพ่อ บวชเรียนมานาน และยังเป็นวิทยากรบรรยายธรรมในโครงการปฏิบัติธรรมบ้าง เข้าค่ายธรรมะของเยาวชนบ้าง ส่วนแม่ก็เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย หากประพฤติสิ่งใดที่ขัดกับคุณธรรมจริยธรรมก็ควรจะเลิกลาจากงานที่ทำ เพราะมันขัดกันโดยสิ้นเชิง ทั้งพ่อและแม่จึงมีความตั้งใจอย่างมั่นคงว่า จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกและสอนลูกตามแนวพุทธธรรม ให้ลูกมีจิตสำนึกที่ดี อายชั่ว กลัวบาป และปฏิบัติตามที่หลวงพ่อปัญญานันทะสอนไว้ว่า “คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดีและไปสู่สถานที่ดี”
เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด อาจจะดูเป็นวิชาการไปบ้าง แต่คิดว่าเรื่องประสบการณ์เลี้ยงลูกแบบพอเพียงนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งเป็นแนวพระราชดำริอันล้ำค่าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงมอบให้ปวงชนชาวไทยเรา เนื้อหาของงแนวคิดนี้ ไม่ได้มีเพียงเรื่องการประหยัดอดออมเท่านั้น แต่หมายรวมถึงความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกัน โดยอยู่บนฐานความรู้คู่คุณธรรมด้วย จึงจำเป็นต้องเล่าแนวๆนี้น่ะครับ
ไม่มีความเห็น