ทองอยู่ ตลับคำ บ้านโนนเตาเหล็ก ตำบลวังสวาบ อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น พูดถึงความรู้ในการเก็บหาของป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "หน่อไม้" ซึ่งชาวบ้านมีระบบความรู้และภูมิปัญญาในการดำรงชีวิตร่วมกับป่าอย่างลึกซึ้ง อาจกล่าวได้ว่า "ลึกซึ้ง" ยิ่งกว่าระบบความรู้ที่คนภายนอกนำมาใช้ในการจัดการป่าเสียอีก จะเห็นได้จากการเลือกใช้ประโยชน์จากต้นไผ่ ซึ่งในอดีตเคยเป็น "สมบัติของท้องถิ่น" แต่ปัจจุบันทางอุทยานฯประกาศห้ามชาวบ้านเข้าไปเก็บหาหน่อไม้ในป่า
"เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เขาบอกว่า ที่ชาวบ้านเข้าไปหักหน่อไม้เป็นการทำลายป่า มันก็ถูกครึ่งหนึ่ง ผิดครึ่งหนึ่ง เพราะชาวบ้านที่อยู่กับป่าเขาจะมีความรู้ในการเก็บหน่อไม้ ที่เหง้าของต้นไผ่ทุกต้นมันจะมีตาอยู่ 3 ตา ที่จะเกิดเป็นหน่อไม้ หน่อไม้มันจะเกิดทีละหน่อ ไม่เกิดพร้อมกัน ถ้าหากตาที่ 1 เกิดเป็นหน่อไม้ แล้วเราไปหักมากิน ตาที่ 2ก็จะเกิด ถ้าเราไปหักอีก ตามที่ 3 ก็จะเกิด แต่จะเกิดเป็นตาสุดท้าย ถ้าไปหักอีก มันก็จะไม่เกิดหน่อไม้อีกแล้ว ชาวบ้านเขาก็จะรู้ว่าต้นไผ่ต้นนี้หักหน่อไม้ไปแล้ว 2 ตา (หน่อ) เขาก็จะปล่อยให้ตาที่ 3 เกิดเป็นต้นไผ่ แต่ถ้าเราปล่อยให้ตาแรกเกิดเป็นต้นไผ่ไปเลย อีก 2 ตาที่เหลือมันก็จะลีบไป ไม่เกิดเป็นหน่อไม้อีก ชาวบ้านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากอีก 2 ตาที่เหลือ เสียประโยชน์ไปเปล่าๆ แต่ถ้าเป็นชาวบ้านจากที่อื่นที่ไม่มีความรู้เรื่องการเก็บหน่อไม้ เขาก็ไม่สนใจว่าไผ่ต้นนี้เก็บหน่อไม้ไปแล้วกี่ครั้ง ถ้าไปหักหน่อไม้ที่เกิดจากตาที่ 3 มันก็เป็นการทำลสยป่าเหมือนกัน..."
จากคำบอกเล่านี้ทำให้เราได้บทเรียนอีกอย่างหนึ่งว่า การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในท้องถิ่น จำเป็นต้องใช้การจัดการความรู้ที่เหมาะสมและชาญฉลาด ไม่ใช่การตัดสินกล่าวโทษว่าใครเป็นผู้อนุรักษ์และใครเป็นผู้ทำลาย หรือ "การทำให้ง่าย" ในการอนุรักษ์ทรัพยากรด้วยการห้ามใช้ประโยชน์ทั้งหมด จนทำให้ดูเหมือนว่าระบบความรู้สมัยใหม่ไม่ได้เอื้อประโยชน์อันใดให้แก่คนที่อาศัยอยู่กับทรัพยากรในท้องถิ่นเลย
นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีความรู้ในการเลือกใช้ประโยชน์จากต้นไผ่และหน่อไม้แต่ละชนิด ซึ่งมีความแตกต่างกันด้วย โดยกล่าวว่า
"....ไผ่ในป่ามันมีตั้งหลายชนิด บางชนิดมันเป็นไผ่ใช้งาน เพราะเส้นมันเหนียว หน่อไม้มันก็เลยเส้นเหนียวไปด้วย กินไม่อร่อย ชาวบ้านก็จะไม่หักมากิน ปล่อยมันเอาไว้เป็นไม้ใช้งาน อย่างพวกไผ่เซิม ไผ่บง ไผ่เฮี่ย ไผ่ขะมะ ไผ่บางอย่างเป็นไม้ใช้งานก็ได้ หน่อไม้ก็กินอร่อย อย่างพวกไผ่คาย หรือไผ่ไผ่ไร่ ไผ่ฮวก ไผ่ฮก ไผ่ซาง ไผ่บางอย่างเอาไปทำไม้ไม้ไผ่เผาข้าวหลามดี อย่างพวกไผ่เปาะ แต่ชาวบ้านจากที่อื่นที่เหมารถเข้ามาเก็บหน่อไม้ เขาไม่สนใจหรอกว่าเป็นหน่ออะไร ขอให้เป็นหน่อไม้ก็หักเอาไปหมด..."
การจะนำไม้ไผ่ไปใช้ประโยชน์ก็จำเป็นต้องใช้ความรู้เช่นกัน เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดมอดในไม้ไผ่ได้ ชาวบ้านเล่าถึงความรู้ในเรื่องนี้ว่า
"....เวลาเราตัดไม้ไผ่ แมงมอดมันจะได้กลิ่นทันที เหมือนกับแมลงวันมันได้กลิ่นของเน่าเหม็นนี่แหละ มันก็จะมาตอมไม้ไผ่ตรงที่เราตัด แล้วมันก็จะทิ้งไข่ไว้ พอเราเอาไปใช้งานได้ไม่นานมันก็จะเกิดเป็นตัวมอดกินไม้ไผ่ผุพังหมด ผู้เฒ่าสอนว่าต้องตัดไม้วันเดือนดับ บางเดือนก็เป็นวันแรม 14 ค่ำ บางเดือนก็แรม 15 ค่ำ ถ้าไปตัดวันนั้นจะไม่เกิดแมงมอดเจาะไม้ ไม่รู้เหมือนกันว่าแมงมอดกับดวงจันทร์มันสัมพันธ์กันอย่างไร บางครั้งก็เอาไผ่ที่ตัดใหม่ๆ ไปฝังดินหรือแช่น้ำไว้นานๆ จนเกิดเป็นตะไคร่ มีกลิ่นเหม็นโน่นแหละ ถึงจะไปเอามาใช้ แมงมอดมันก็ไม่มาเจาะ...." ยังมีความรู้เกี่ยวกับไผ่อีกมากมาย จนคนฟังแล้วรู้สึกสนุก และอยากเข้าร่วมเรียนรู้ไปกับเขาด้วยในป่าด้วย
กระบวนการหาความรู้โดยการตั้งคำถามกับตัวเองว่า "รู้อะไร" "ต้องการรู้อะไร" "เพื่ออะไร" "จะรู้ได้อย่างไร" ทำให้วิทยากรกระบวนการที่ศึกษาเรื่องไม้ไผ่ตระหนักถึงคุณค่าของความรู้ที่เรียกว่า "ภูมิปัญญาชาวบ้าน" อย่างแท้จริง รวมถึงการได้วิธีการหาความรู้ที่ลงลึกและเชื่อมโยงกับธรรมชาติของท้องถิ่นนั้นๆ แม้ว่าเขายังไม่สามารถนำความรู้เหล่านี้ไปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่ "ไม้ไผ่" ก็สอนให้ทองอยู่และกลุ่มวิทยากรกระบวนการรู้จักการแสวงหาความรู้ ทองอยู่ได้เปลี่ยนวิธีคิดที่หวังพึ่งคนภายนอกมาเป็นการพึงตนเองซึ่งดีกว่าเยอะ
"แต่ก่อนทำงานกับหน่วยงานไหนก็อยากได้งบประมาณจำนวนมากๆ เข้ามาพัมนาในชุมชน แต่พอทำเข้าจริงก็ไม่สำเร็จอะไรสักอย่าง เพราะหน่วยงานแต่ละแห่งเขาก็มีขีดจำกัดในเรื่องการสนับสนุนงบประมาณเหมือนกัน ทุกวันนี้เริ่มมองว่าเราน่าจะทำโครงการเล็กๆ ที่มันเป็นไปได้ที่สามารถจัดการได้ และเกิดผลโดยตรงกับคนในชุมชน ผมก็เลยเปลี่ยนแนวคิดใหม่ มันทำให้ตัวเองสบายใจ"