สวัสดีชาวคลื่นหนึ่งและผู้สนใจและรักการอ่านทุกท่าน อาจมีใครหลายคนเคยเจอคนบ่นว่า “เด็กรุ่นใหม่มาทำงาน เราต้องบอกตั้งแต่ขั้นตอนแรกจนถึงขั้นตอนสุดท้าย เพื่อให้เด็กทำงานให้เราได้” หรือ เฮ้อ เด็กสมัยนี้ บอกเท่าไหนก็ทำได้เท่านั้น ไม่เคยคิดเรียนรู้งาน” อะไรทำนองนี้อยู่บ่อย ๆ แล้วเราก็โทษระบบการศึกษาของไทยที่ว่ายังไปไม่ถึงไหน แล้วก็ว่ากันต่อไปว่า “ก็แหงล่ะ คนสอบเข้าคณะอื่นๆไม่ได้แล้วถึงมาเลือกเรียนศึกษาศาสตร์” แถมยังมีคนบอกอีกว่า “คนนอกเมืองยังไม่ค่อยให้ลูกเรียนโรงเรียนรัฐ (โรงเรียนวัด) โดยให้ลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชน ซึ่งครูที่มาสอนเงินเดือนก็น้อย แถมสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลไม่ได้” อะไรทำนองนี้ก็ว่ากันไป แล้วเราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า ชนชาติไหนที่เขาเก่งเสียเหลือเกิน อัจฉริยะเสียเหลือเกิน เจอหนังสือน่าสนใจอีกเล่มที่จะนำมาให้รู้จัก ที่เขาบอกไว้น่าปกว่าขายดีในอิสราเอลกว่า 20 สัปดาห์ แปลแล้วถึง 7 ภาษา
หลักแห่งการยกระดับ ความคิดสร้างสรรค์แบบคน ยิว ....จงเป็นนักเลียนแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ควรใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในทางที่สอดคล้องกับความต้องการ “....คนส่วนมากเรียนรู้ได้ดีที่สุดจากความสำเร็จและความล้มเหลวของตนเองเมื่อเปรียบเทียบกับผลงานของคนอื่น แม้แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็ยังเปลี่ยนแปลงและปรับสิ่งต่างๆ ไปเรื่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ประเด็นสำคัญก็คือการเรียนรู้จากประสบการณ์และจากความผิดพลาดของคุณเองเป็นสิ่งที่ดีอยู่หรอก เว้นแต่ว่ามันเอาสิ่งที่คุณไม่ควรสูญเสียไปจากคุณ นั่นก็คือ เวลา....”....
“เพราะว่าถ้าคุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผลงานที่ดีเลิศมักเกิดขึ้นจากการกระทำที่ดีเลิศ ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำก็คือเรียนรู้จากการกระทำแบบเดียวกันนี้แล้วทำตามในลักษณะเดียวกัน คำถามไม่ใช่อยู่ที่ว่าเราจะได้รับผลสำเร็จแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือกลยุทธ์ที่จำเป็นต้องเลือกคนที่เหมาะสมที่เราจะเรียนรู้จากเขา” (น.124)
บางครั้งการเรียนรู้ด้วยตัวเองโดยไม่มองประสบการณ์หรือคำบอกกล่าวเล่าขาน คำตักเตือนของคนอื่น หรือการไม่มี “ต้นแบบ” ในการดำเนินชีวิต ก็อาจจะไม่ใช่แค่ “เสียเวลา” แต่อาจจะต้อง “เสียใจ” “เสียดาย” “เสียหาย” หรือ “เสียผู้เสียคนได้”
หรือหลักแห่งจินตนาการ จินตนาการเรื่องที่เหลือเชื่อที่สุดที่คุณคิดได้ ตั้งเป้าหมายที่ดูเกินความจริงนั้นไว้ แล้วคิดในแบบที่ปฏิบัติได้ จินตนาการแบบพยากรณ์อนาคต (Prophetic Imagination) เพื่อทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงโดยวิธีการที่เป็นไปได้
สงสัยกันไหมว่าทำคน ยิว ฉลาดและประสบความสำเร็จสูงสุด หาคำตอบใน “สู่ความเป็นอัจฉริยะด้วยการพัฒนาพลังสมอง” โดย Eran Katz แปลโดย เจิจรัส หนังสือน่าอ่านประจำสัปดาห์นี้ แล้วท่านจะได้รู้ว่าอัจฉริยะไม่ใช่ติดตัวมาแต่เกิด หรือต้องพัฒนากันตั้งแต่ยังเด็ก คนอายุเท่าใด ถ้าสนใจจะพัฒนาตัวเอง ก็สามารถทำได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันบางอย่างของคุณ รวมทั้งปรับเปลี่ยนระบบคิดเสียบ้าง... เรียนรู้เพื่อจะปรับเปลี่ยนและนำสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต พัฒนาตัวเอง สักวันหนึ่งคุณอาจจะเป็นต้นแบบให้ใครสักคนได้ยึดถือและเดินตาม สนใจลองซื้อหามาอ่านได้ตามร้านหนังสือทั่วไปนะคะ จาก จินตนาภรเห็นด้วย อย่างยิ่ง แต่ การได้เดินทางไป ค้นพบหรือได้เห็นมากะตาตัวเอง ก็ช่วยได้เยอะนะเพราะมันได้ถูกบันทึกไว้ในสมองส่วนหนึ่ง จากนั้นต้องขวนขวายหากันเอาเอง ถ้าไม่ลืมก็จะจำได้ นา
ประสบการณ์ตรงน่าจะจำแบบไม่น่าลืม ถ้าลืมก็จะนึกได้เร็วกว่าที่ไม่มีประสบการณ์ จริงๆน่ะ
เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าอัจฉริยะไม่ใช่ติดตัวมาแต่เกิด แต่ต้องพัฒนากันตั้งแต่ยังเด็ก หรือแม้จะมีอายุมากก็ยังพอไหวนะครับ ถ้าหากเรายอมรับและเปลี่ยนแปลงกระบวนการคิดใหม่
เห็นด้วยครับ...ทุกอย่างสร้างได้...แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์...ทำเพื่ออะไร
จะเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ตรง หรือทางอ้อมล้วนเป็นประโยชน์ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญคือใจที่ใฝ่รู้ และเปิดรับนำมาปรับใช้...ขอบคุณน้องเขียวสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ
มีโอกาสได้ไปนั่งคุณหนูดี เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2550 ที่ขอนแก่น เจอพี่หญิงอ้อด้วยหล่ะ มีคนถามคุณหนูดีว่า (มีคนไม่รู้จักคุณหนูดีบ้างมั้ยครับ) คนเราเมื่ออายุมากแล้วจะทำให้มีโอกาสความจำเสื่อม