นิสิตพิการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
นิสิตพิการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม นิสิตพิการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม นิสิตพิการทุกประเภท เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ

เรียงความประกวด : ๘๐ พรรษามหาราช พระมิ่งขวัญคนพิการ


          เมื่อช่วงสอบปลายภาค มดได้รับข่าวจากพี่หนิง ว่าให้เขียนเรียงความประกวด  เนื่องในวันคนพิการ  จัดโดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย  ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว  มดก็เคยเขียนส่งประกวดแล้วครั้งหนึ่งค่ะ  ได้รับรางวัลชมเชย    และพี่หนุ่ย ได้รางวัลชนะเลิศ 

          ปีนี้พี่หนุ่ยจบไปแล้ว  พี่หนิงจึงตั้งความหวังไว้ที่ มด  น้องกระแตและน้องด๊อดดี้  ซึ่งน้องสองคนนี้ เรียนชั้นปีที่ 1  เอกภาษาไทยค่ะ

          มดออกตัวก่อนนะคะว่า  อาจจะเขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่นักเพราะเป็นช่วงสอบปลายภาคแล้วค่ะ   แต่ลองอ่านดูนะคะ ( เรียงความปีนี้ตกกระป๋องค่ะ  ) ปีนี้กำหนดหัวข้อ "๘๐ พรรษามหาราช พระมิ่งขวัญคนพิการ" ค่ะ

๘๐ พรรษามหาราช พระมิ่งขวัญคนพิการ

          เมื่อ ๒๐ ปีก่อน  ข้าพเจ้ายังนอนแบเบาะอยู่ในตู้อบของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในต่างจังหวัดที่ห่างไกลความเจริญ  เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด  ต้องอยู่ในตู้อบที่มีสภาพ
แวดล้อมที่เหมือนกับครรภ์มารดา  เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเป็นทางเดียวที่ข้าพเจ้าจะรอดชีวิต  แต่อาจเป็นเพราะโชคชะตา หรือเป็นความผิดพลาดทางการรักษา  ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของความพิการทางการมองเห็นที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
          ตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็กสายตาเลือนราง ที่ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนพอสมควร  ข้าพเจ้ามักจะถามแม่ของข้าพเจ้าเสมอว่า  “นั่นรูปของใครติดอยู่บนหัวนอน  แล้วทำไมแม่ต้องกราบรูปนั้นก่อนนอนทุกวันด้วย”  แม่ยิ้มน้อยๆแล้วตอบว่า  “นี่คือพ่อของเราอย่างไรล่ะลูก”  ข้าพเจ้ายังนึกฉงนอยู่ในใจว่า  ทำไมแม่ต้องเรียกคนในภาพที่เป็นผู้ชายท่าทางใจดีว่า “พ่อของข้าพเจ้า” ด้วย  ในเมื่อข้าพเจ้าก็มีพ่อที่ไปทำงานและกลับมาหาข้าพเจ้าในทุกเย็นอยู่แล้ว “ทำไมพ่ออีกคนของหนูไม่เคยกลับบ้านมาเยี่ยมข้าพเจ้ากับแม่บ้างเลย”   ข้าพเจ้าถามแม่ต่อ  เพราะตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าจำความได้  ข้าพเจ้าก็เห็นแต่เพียงรูปที่แม่บอกว่าเป็นพ่ออีกคนของข้าพเจ้า  แล้วแม่ก็สอนให้ข้าพเจ้าไหว้พ่อก่อนนอนทุกคืน  และทุกครั้งที่แม่นึกถึงเรื่องของพ่อ  แม่ก็จะร้องไห้ด้วยความภาคภูมิใจ  “เพราะแม่รู้ว่าพ่อไปทำงานเพื่อลูกของพ่ออีกหลายคน  แล้วถ้าวันใดที่พ่อรู้ว่า  เราเดือดร้อน  พ่อก็จะมาเยี่ยมเราเช่นเดียวกับการที่พ่อไปเยี่ยมลูกของพ่อคนอื่นๆ”
          ข้าพเจ้าไม่เข้าใจแม่เลยว่า  เหตุใดแม่จึงไม่โกรธที่พ่อไม่เคยมาเยี่ยมเรา  มิหนำซ้ำยังไปดูแลลูกคนอื่นๆของพ่อ ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักอีกมากมาย ข้าพเจ้าเคยนำเรื่องของพ่อไปเล่าให้เด็กข้างบ้านฟัง  เพื่อให้ช่วยข้าพเจ้าตามหาพ่อ  ก็ได้รับคำตอบว่า  “แม่ของฉันก็มีรูปของผู้ชายท่าทางใจดีอยู่บนหัวนอนเหมือนกัน  แม่ก็บอกว่าเป็นพ่อของฉัน”  ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าเมื่อโตขึ้นอีกหน่อยจะไปตามหาพ่อถึงแม้ว่าจะไม่รู้จุดหมายเลยก็ตาม ข้าพเจ้าบอกตามตรงว่า  ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้โกรธพ่อหรอก  เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่า พ่อทำงานหนักไปทำไมและพ่อทำเพื่อใครกันแน่ 
          ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของพ่อกับแม่  และความหวังที่จะได้พบกับพ่อ และเมื่อบ้านของข้าพเจ้ามีโทรทัศน์เครื่องแรกสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า  เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับผู้ชายท่าทางใจดีที่แม่สอนให้เรียกว่า “พ่อ” และในวันที่ ๕ ธันวาคมซึ่งเป็นวันเกิดของพ่อในทุกๆปี พ่อก็จะมาปรากฏตัวอยู่หน้าจอโทรทัศน์ และในขณะเดียวกัน  แม่กับพ่อก็ตั้งตารอเวลาของการปรากฏตัวของพ่ออยู่หน้าจอโทรทัศน์อยู่ที่บ้านเช่นกัน 
          ปีหนึ่งที่เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ  เงินบาทลอยตัว  พ่อเคยบอกกับลูกๆทุกคนว่า
           “ในที่ดินแปลงเล็กๆรอบบ้าน  ลูกทุกคนจะต้องใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด”  เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้ว  พ่อแม่และข้าพเจ้าก็ช่วยกันปลูกผักสวนครัวไว้รอบๆบริเวณบ้านไม่กี่สัปดาห์ครอบครัวเราก็ได้กินผักปลอดสารพิษที่ไม่ต้องซื้อ  พ่อเองก็ทำไร่นาสวนผสมโดยขุดบ่อเลี้ยงปลา  ทำนาข้าว  และปลูกไม้ยืนต้น  เพื่อเก็บผลกินในอนาคต  ไม่นานนัก  ครอบครัวของเราจากที่เคยอยู่อย่างขัดสน  มีฐานะยากจน  ก็มีชีวิตที่ดีขึ้น จากการใช้ชีวิตพอเพียงตามแนวทางของพ่อ   “ถึงลูกจะเป็นคนพิการ  ก็ใช่ว่าลูกจะด้อยกว่าคนอื่นๆ แม้ว่าร่างกายของลูกจะพิการ  แต่พ่อเชื่อว่า  จิตใจของลูกไม่ได้พิการไปตามร่างกายเลย ลูกจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตได้  เช่นเดียวกับลูกคนอื่นๆของพ่อที่เป็นคนปกติ”  พ่อบอกกับข้าพเจ้าผ่านสื่อโทรทัศน์ จากนั้นไม่นาน  ข้าพเจ้าก็ได้เรียนหนังสือ ข้าพเจ้าเข้าเรียนในโรงเรียนที่พ่อเป็นคนอุปถัมภ์อยู่   ข้าพเจ้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า  จะได้พบเพื่อนที่เป็นคนพิการมากมายหลายประเภทที่โรงเรียนที่เรียกว่า  “ศูนย์การศึกษาพิเศษ” แห่งนี้  เพื่อนใหม่ที่ข้าพเจ้ารู้จัก นอกจากข้าพเจ้าที่เป็นผู้พิการทางการมองเห็นแล้ว  บางคนก็มีความบกพร่องทางสติปัญญา  บางคนก็มีการบกพร่องทางการได้ยิน  บางคนก็มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว  และที่สำคัญที่สุด ทุกคนต่างเป็นลูกของพ่อเช่นเดียวกับข้าพเจ้า  ที่พ่อให้โอกาสทางการศึกษาและให้ความรักอย่างเท่าเทียมกัน   นอกจากนั้น  พ่อยังสร้างศูนย์ฝึกอาชีพให้กับลูกพิการรุ่นพี่ของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ  ได้ฝึกอาชีพ  เพื่อให้ลูกๆของพ่อมีศักยภาพทัดเทียมกับลูกที่เป็นคนปรกติ  ในขณะที่เหงื่อทุกหยาดหยดของพ่อหลั่งรินเพื่อครอบครัว  ให้ครอบครัวที่เรียกว่าประเทศไทย 
          ให้ลูกทุกคนของพ่ออยู่ดีกินดี  แม้พ่อจะต้องเหนื่อยยากสักเพียงใด  พ่อก็ไม่เคยย่อท้อ  จึงไม่แปลกที่ลูกๆทุกคนในประเทศไทยจะรักพ่อ
          กว่าหกสิบปีที่พ่อทรงครองราชย์  ต้องทรงงานหนัก  ทำให้ลูกมีชีวิตที่ดีตามแนวพระราชดำริของพ่อ  จนเมื่อกาลเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากเดือนสู่ปี  จนถึงวันที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีการสื่อสารที่ครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นทวีป  จากที่ข้าพเจ้าได้เคยมองเพียงรูปของพ่อที่แขวนอยู่บนหัวนอนเมื่อตอนที่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก  บัดนี้การทรงงานหนักของพ่อ  ก็ได้ทำให้ลูกของพ่อที่เป็นคนพิการ  จากที่เป็นส่วนเกินของสังคม  ไม่มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษาและทำงานในสังคมเมื่อครั้งอดีต  ก็สามารถยืนหยัดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์สังคมได้อย่างเต็มภาคภูมิ  ด้วยพลังกายและพลังใจที่เข้มแข็ง
          วันเกิดของพ่อเมื่อหลายๆปีที่ผ่านมา  ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้พิการได้มอบของขวัญที่ล้ำค่าอย่างหนึ่งให้แก่พ่อ  นั่นคือ  ความจงรักภักดีที่มีต่อพ่อของแผ่นดินพระองค์นี้  และเนื่องในวโรกาสที่พ่อมีพระชนมายุครบ  ๘๐ พรรษา  สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้พิการจะมอบเป็นของขวัญให้พ่อได้ก็คือ  การเป็นคนดี  พร้อมที่จะอุทิตตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ  เพราะ “พ่อ” เป็นมิ่งขวัญของคนพิการไทยทุกคน
   ๘๐  มาเยือน ชน         ชาวไทย ทุกสถาน
พรรษายิ่งยืนนาน         ก้องหล้า
มหาราชบำเพ็ญกิจ       เสด็จทั่ว  ไทยนา
คนพิการ บ่เว้นว่าง       ธ ทรงส่งเสริม
  ( โคลงสี่สุภาพ )
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นางสาวเสาวนีย์  สีสอง   ( บกพร่องทางการมองเห็น : สายตาเลือนราง )
นิสิตชั้นปีที่ 2  สาขาวิชาประวัติศาสตร์  คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม  

หมายเลขบันทึก: 145289เขียนเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2007 16:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม 2012 21:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

โห...มด

ใจตรงกันมากเลยนะ พี่กำลังคิดว่าจะเขียนบันทึกอยู่เกี่ยววกับเรียงความของปีนี้แหละค่ะ

ก็ดีเหมือนกันนะ  ถ้ามดได้รางวัล ป่านนี้เราก็คงอยู่กทม.( อีกแล้ว )  พี่หนิงกำลังเบื่อการเดินทางเข้า กทม.จ้ะ  อิอิ

วันนี้ดีใจจัง  ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า

เรียงความนี้ไม่ได้ "ตกกระป๋อง"นะคะ  มีผู้ใหญ่ใจดีขอนัดสัมภาษณ์ด้วยจ้า

ยินดีด้วยนะคะ น้องมด  กับรางวัลชมเชย อันดับ 1 ของการประกวดเรียงความเนื่องในวันคนพิการ ครั้งที่ 43  จัดโดย สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 

จากที่อ่านมานะคะ รู้สึกว่า สำนวนและระดับภาษาจะดุธรรมดาไปสักนิด การเขียนเรียงความเฉลิมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ สมควรอย่างยิ่งที่ต้องใช้คำที่มีระดับแตกต่าง นะคะ และการใช้คำสรรพนามเรียก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว ที่เข้าใจว่าใช้ คำว่า "พ่อ" ต้องบอกในนัยยะของการใช้ภาพพจน์ เราจะมาบอกตรงๆ ว่า พระองค์ทรงเป็น พ่อ  ไมได้เป็นอันขาด เพราะถือว่าเราไปนับว่าเป็นส่วนหนึ่งในราชวงศ์ น่ะคะ ( อันนี้ อาจารย์ที่จุฬา เคย เสนอแนะมา อ. อำพล สุวรรณธาดา )  จะเห็นข้อบกพร่อง ตรงการใช้คำว่า "กว่าหกสิบปีที่พ่อทรงครองราชย์" เห็นไหมค่ะ เวลาที่เราใช้คำว่า พ่อ  แล้วตามด้วยราชาศัพท์ ...เข้าใจว่า ผู้เขียนต้องการให้เกิดความใกล้ชิด และความรู้สึกของพ่อ  แต่ตามหลักภาษา ไม่ถูกต้องน่ะคะ...หรือถ้าเป็นการเลี่ยงจริงๆ ในครั้งแรกที่เรากล่าวถึง ควรกล่าวเต็มพระราชอิสริยายศ นะคะ...คือครั้งแรก กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในครั้งต่อไป ค่อยเปลี่ยนเรียกว่า พ่อ หรือใช้คำว่า...พระองค์ทรงเปรียบดั่ง พ่อ หรือ ทรงเป็นดั่ง พ่อ ..จะดีกว่าค่ะ

การนำพระบรมราโชวาท ของพระองค์มาไว้ในบทความ  ต้องบอก วันที่พระราชทาน สถานที่ กำกับด้วยนะคะ

สุดท้าย เรื่อง การนำคำกลอนมาลงท้าย หากไม่ได้คิดมาเอง ต้องนำชื่อผู้แต่งมาไว้ด้วย นะคะ

แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่ในขั้น จัดว่า ดีในระดับหนึ่งค่ะ...

ขออภัยอย่างสูงนะคะ ที่คอมเม้น เราอยู่ ม. อุบล ค่ะ
แต่ที่เสนอแนะมา ก็เนื่องจากมีโอกาสประกวดสุนทรพจน์ อุดมศึกษาเฉลิมพระเกียรติ ของ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ..ขอให้ประสบความสำเร็จในการประกวดนะคะ..สวัสดีค่ะ

ไม่ได้เข้ามาเยี่ยม  นานแล้วนะมด

ขอบพระคุณนะคะคุณรักชนก อุระภูมิ   ไม่รู้ว่ามดเข้ามาอ่านเจอหรือยัง  เป็นคำแนะนำที่ดีมากเลยค่ะ

พี่หนิงจะพูดกับน้องๆพิการที่นี่เสมอว่า  เพราะเราพิการเราจึงต้องพยายามพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ให้ดีและมีความพร้อมเสมอ

ขอบพระคุณค่ะ

และโดยรวมพี่หนิงภาคภูมิใจกับ  เรียงความของมดนะคะ  เพราะมดไม่ได้เรียนด้านนี้โดยตรง  มดเรียนรู้ด้วยตนเอง  ทั้งๆที่เป็นนิสิตพิการ  พยายามต่อไปนะคะมด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท