ยากที่สุด คือ การทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน


พระพุทธองค์มีเจตนาฝึกบุรุษให้ถือทานทั้งสาม คือ แรงกายเป็นทาน ทรัพย์เป็นทาน และวิทยาธณรมเป็นทาน เพื่อให้จิตได้คลายความตระหนี่ แต่ผมกลับตระหนี่แบบซับซ้อน ช่างน่าละอายใจจริงๆ

สวัสดีพี่น้องชาว g2k ทุกๆท่านครับ

วันนี้ผมใคร่ขอแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการบำเพ็ญจิตพิชิตธรรม ของกระผมเอง ณ วันนี้ สิ่งที่ผมยังรู้สึกสบประมาทต่อตนเองคือการที่ไม่อาจเอาชนะอุปสรรคข้อสำคัญ ข้อหนึ่ง นั่นคือ

"การทำความดี โดยไม่หวังผมตอบแทน"

ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากจะบำเพ็ญปฏิบัติได้ เพราะทุกครั้งที่ให้ ทุกครั้งที่เสียสละออกไป ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมสาธารณะ ผมมักจะแอบหวังใจอยู่ลึก ๆ ว่า ผู้รับเขาจะยินดีไหม ผู้รับเขาจะรักเราไหม ผู้รับเขาจะยกย่องเราไหม ทั้งต่อหน้าและรับหลัง

ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า จิตใจใฝ่บำเพ็ญของกระผมนั้น ยังเตอะแตะ แหยะเหยาะ ไปได้ไม่ถึงไหนเลย

พระพุทธองค์มีเจตนาฝึกบุรุษให้ถือทานทั้งสาม คือ แรงกายเป็นทาน ทรัพย์เป็นทาน และวิทยาธณรมเป็นทาน เพื่อให้จิตได้คลายความตระหนี่ แต่ผมกลับตระหนี่แบบซับซ้อน ช่างน่าละอายใจจริงๆ

ครับ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผมจะยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อขจัดจิตที่เลวทราม ศึกษาหลักการต่าง ๆ เรียนรู้คุณธรรม เพื่อให้ชีวิตพบกับความสงบ พบกับบรมธรรมอันร่มเย็น ไม่วนเวียนกับการยึดติดตรงนี้อีก

หวังว่าทุกท่านจะมาร่วมกัน ทำความดี โดยไม่หวังผลตอบแทน มาฝึกแบบนี้กันนะครับ โลกเราจะได้มีแต่คนเสียสละ และไม่เห็นแก่ตัว

ขอบคุณครับ

หมายเลขบันทึก: 144803เขียนเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2007 15:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 08:26 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะ

  การที่เราคิดว่า เราทำความดีแล้วคนรับจะยินดีไหม ไม่ใช่เรื่องการหวังผลตอบแทนหรอกค่ะ เพียงแต่ เป็นการอยากมุทิตา(ยินดี) กับเขามากกว่า อ่านบทความของคุณแล้ว ให้ปลื้มใจ ที่สังคม มีผู้คิดให้เช่นคุณ ผู้ก้าวเดิน ย่อมมีสิทธิถึงจุดหมายเสมอค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท