วิชารักษาตัวรอด


...สู่สายน้ำแห่งอนิจจัง

 20นาฬิกาวันที่28ตุลาคม2550
อากาศท้องนาเย็นสบายดี ลมเหนือเริ่มโชยลงมาเป็นระยะๆ ข้าวก็เริ่มออกรวง ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ หลายสิ่งหลายอย่างคงเดิม หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป อายุไขก็มากขึ้นทุกวันๆ จาก1ปี.. 2ปี..3ปี.. 7ปีเข้าโรงเรียนวัด เรียนกำลังสนุกก็จบป4(ปฐม4 ชั้นมูล) กก็ต้องไปหาโรงเรียนเรียนต่อชั้นม1(มัธยม1) เป็นโรงเรียนประจำอำเภอไกลแสนไกลจากบ้านเกิด ไปโรงเรียนเวันแรก ร้องไห้คิดถึงบ้าน ทั้งๆที่นั่งรถโดยสารเพียงชั่วโมงกว่าๆ เหตุเพราะไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรู้จัก ต้องเริ่มใหม่หมด ทั้งครู-อาจารย์ เนื้อหาวิชา โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ที่ต้องใช้ปากกาคอแร็งค์กับหมึกอินเดียนอิงค์ เขียนไม่สวยก็ถูกครูตี เวลาช่างติดปีก ำลังมีเพื่อนสนุกๆกับการเรียนก็จบม6ซะอีกแล้ว ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชน ต้องรายงานตัวกับสัสดีอำเภอ ได้ใบ สด9มา เข้ามาเรียนต่อชั้น ม7ม8 ในบางกอกเสื้อผ้าก็ต้องตัดใหม่ อะไรๆที่บางกอกนี่ยุ่งเหยิงไปหมด
เวลาผ่านไปแผลบเดียวจบอุดมศึกษาต้องมาหางานทำ สมัยนั้นงานมีให้ทำเยอะไม่ต้องเบียดกับคนอื่น เพียงแต่ว่า เราจะทำงานเพื่ออะไร อุดมการณ์ หรือปากท้องของเรา ถ้าทำเพื่ออุดมการณ์ ก็จะอยู่ในที่ที่ทำงานนั้นๆไม่ได้นานนัก ก็ต้องออกมาศึกษาต่อ เพื่อจะแสดงให้นายและพรรคพวกที่ที่ทำงานได้เห็นว่ามีศักยภาพ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความจริง ที่ว่าพวกมากลากไป และ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
บางสิ่งเราเห็นว่าไม่ถูก แต่ก็ต้องทำเฉยๆไว้จะรู้จะเห็นเป็นอันตรายแก่ตนเอง บางเรื่องทั้งรู้ทั้งเห็นต้องทำเป็นนิ่งเฉย แถมยังต้องเออ-ออไปตามกัน ไม่อย่างนั้นก็เป็นอันตรายแก่ตนเอง แอบหนีไปศึกษาต่อ ก็ไม่เป็นผลอะไรเพราะวิชาความรู้ ไม่เกี่ยวกับวิชารักษาตัวรอด
การเอาแต่เพียงตัวรอดแล้วชาติบ้านเมืองจะไม่รอด บางทีก็ตัดสินใจยากมากๆ ในขณะนั้น ความรู้ในการศึกษากับความรู้ในคุณธรรม ก็ต่างกัน บางคนมีทั้งสองอย่างอยู่ในตัวตน บางคนมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ใช่เราไม่สามารถบังคับจิตใจใครให้มีคุณธรรมได้ ได้แต่เพียงร้องขอ ตักเตือนกันให้อยู่ในหนทางแห่งศีล-ธรรม จะไม่เข้ามาเต็มตัว แต่ก็อย่าทำตัวให้ขวางหนทางแห่งคุณงามความดีและธรรมะ
ช่วงเวลา จาก32 ถึง50 เป็นช่วงแห่งความรุ่งโรจน์ แข็งแกร่ง เร่าร้อน พลังทุกขุมจะมีอยู่ในช่วงนี้
หลัง50แล้ว เริ่มย้อนกลับ พลังเริ่มเสื่อมถอย แต่ความสุขุมจะมากขึ้น ทำให้มีเวลารำลึกถึงอดีตมากขึ้นก็เลยทำให้แก่เร็วขึ้น
60ปี ช่างผ่านไปแล้วอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้มันจากไป มันก็จำเป็นต้องไป ไม่สามารถรอใครได้
เมื่อวานยังเรียกพ่อ เรียกแม่ เรียกสรรพนามแทนตนว่า "หนู" เดี๋ยวเดียว ถูกเรียกว่า "พ่อ"ซะแล้ว อยู่ๆ ก็มาถูกเรียกว่า "ปู่อีกแล้ว" ต่อมาก็ถูกเด็กตัวน้อยๆน่ารัก เรียก"ตา" เข้าให้อีก โอ้โฮ เวลามันวิ่งปรูดปร๊าดเร็วจริงๆ เลยหนอ เมื่อก่อนเราก็ตัวแค่นี้แหละหนอ เรียกพ่อ-เรียกแม่ หนูอย่างนั้นหนูอย่างนี้ บัดนี้อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป บ่งบอกให้รู้ว่าเรานี้เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วนะ เป็นไม้ใกล้ฝั่งไปแล้ว รอวันที่จะถูกน้ำกัดเซาะ ล้มลงสู่สายน้ำแห่งอนิจจัง
เราเห็นความตายมารออยู่ข้างหน้าริบหรี่แล้ว สักวันมันคงเข้ามาใกล้เรามากกว่านี้ และท้ายที่สุด เราก็หนีมันไม่พ้น
วันนี้ก็เพียงแต่หวังแต่จะทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความดีบางครั้งทำไปโดยไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองอะไรเลย เพียงทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว รำลึกถึงวิถีแห่งธรรมบ้าง
ความรู้-ทรัพย์สิน ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลยที่จะทำให้ใจจิตผ่องใสในรสพระธรรม

ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง พระเจ้าอยู่หัวฯ และพระพี่นางฯด้วยเทิน
สาธุ
</p>28/10/50

</p>28/10/50

หมายเลขบันทึก: 142845เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2007 16:02 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ

  • "หนูกั๊ต" อายุผ่านเลขสี่มาไม่กี่ปี....แต่เด็กตัวน้อยๆ หลายคนก็เรียกว่า "ย่ากั๊ต" กันแล้ว...ไอ๊หยา...เราแก่แล้วเหรอ....
  • รักษาสุขภาพกายสุขภาพใจให้แข็งแรงสมบูรณ์นะคะ....รอให้หลานๆ เรียกว่าคุณทวดกันเยอะๆ ก่อน

สวัสดีครับ  ลุงสุก

  • สบายดีนะครับ
  • ลุงหายไปนานมาก
  • รักษาสุขภาพด้วย
  • แสดงว่าลุงมีความสุขแน่นอน
  • เพราะเขาบอกว่าเวลาแห่งความสุขผ่านไปรวดเร็ว
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท