คงต้องวานป้าแดงแปลเป็นไทยให้จั๊กหน่อย
สังคมไทยนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาที่ไม่ค่อยสนใจค้นหาตัวตนจากประวัติศาสตร์ เพราะจะทำให้เข้าใจปัจจุบันมากขึ้น แต่คนไทยกลับลืมสิ่งนี้ไปหมด
โรงเรียนขาดการสอนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะนักคิดที่ถูกครอบงำวิธีคิดมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีประวัติศาสตร์ เพราะเพิ่งเกิดมาเมื่อร้อยสองร้อยปี ไม่มีสิ่งดีๆเชิงวัฒนธรรมดั้งเดิมมาขาย จึงต้องขายของใหม่ ด้วยการวาดภาพอนาคตในแนว Scenario Technic
จากการไม่สนใจในประวัติศาสตร์ตัวตนของไทย ทำให้สังคมไทยเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก
ตัวอย่างหนึ่งคือ เมืองโยนกนาคนคร นครเชียงแสนอันเก่าแก่ มีการต่อสู้กันระหว่างกลุ่มที่ต้องการใช้พื้นที่เป็นนิคมอุตสาหกรรม อีกกลุ่มต้องการบูรณะเป็นมรดกโลก ทำให้ไม่เกิดการพัฒนาบูรณะมานับหลายสิบปี แถมเกิดการบุกรุกจนจะกลายเป็นเช่นเมืองเก่าอื่นๆ
สภาพของสังคมอยู่ในภาวะวิกฤติ ด้านการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมแต่ไทยยังมีดีที่พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักในการบำรุงรักษาวัฒนธรรมเก่าๆให้คงไว้ และเรามีการตั้งสำนักงานเอกลักษณ์ของชาติและกระทรวงวัฒนธรรมขึ้นมารับผิดชอบในการดูแล
กระแสโลกาภิวัตน์จากกลุ่มประเทศตะวันตก เริ่มทะยอยทำลายวัฒนธรรมไทยที่ว่าดีงาม เป็นเรื่องยากมากที่จะต่อต้านกระแสนี้ เนื่องจากความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิต ตลอดจนค่านิยมต่าง ๆ จากกระแสตะวันตกนี้มากระทบตัวเราโดยตรงอย่างรวดเร็ว ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ ภาพยนตร์ คอนเสิร์ต การแสดงแฟชั่นต่าง ๆ
เยาวชนไทยขาดการเรียนการสอนเรื่องรักชาติ ไม่รู้จักแยกแยะว่าสิ่งไหนดีควรเก็บรักษาไว้ และสิ่งไหนไม่ดีควรปล่อยทิ้งไป เพราะสังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมเปิด ผิดกับประเทศพม่าและลาวที่เป็นประเทศที่มีสังคมในระบบปิด
สังคมไทยเดิมมีปัจจัยเกื้อกูลให้สังคมอยู่ดีมีสุข คือ บ้าน วัด และโรงเรียนที่เราเรียกว่า บวร ที่ก่อนนั้นใกล้ชิดเยาวชน คอยสั่งสอนอบรม และดูแลให้เด็กรู้จักคิด รู้จักทำและมีจิตสำนึกที่ดีงาม แต่ปัจจุบัน “สื่อ”กลับทำลายภายใต้ความมีอิสระเสรี มุ่งอยู่แต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจตนมากกว่านึกถึงผลประโยชน์ชาติ ดังตัวอย่างการทะเลาะตบตีของดาราดูเหมือนว่ามันมีคุณค่าต่อชีวิตในสังคมไทยมากกว่าสิ่งดีงามที่มีทั่วแผ่นดินแต่ไม่ถูกค้นมาเผยแพร่
หน่วยทางสังคมเดิม บ้าน วัด และโรงเรียน ไม่ได้ทำหน้าที่ในการอบรมเลี้ยงดูเด็กเหมือนสมัยเดิม ๆ คนในครอบครัวทั้ง พ่อ และ แม่ ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทั้งคู่ ทิ้งเด็กไว้ให้ ปู่ ย่า ตา ยาย เลี้ยงดู ส่วนที่โรงเรียนนั้น สภาพของครูปัจจุบันก็มีปัญหามากทั้งภาระหน้าที่ หนี้สิน ไม่มีเวลาอบรมดูแลลูกศิษย์ดังเช่นก่อนๆ
ตัวอย่าง การสอนเด็กๆในเวียตนามน่าสนใจมากก่อนบวชเรียนเป็นพระ สามปีแรกจะให้ไว้โก๊ะ(สามแกละ) พอ อายุ 12 ก็ตัดแกละเหลือหนึ่งจุก พออายุ 15 ก็โกนหัวบวช ฝึกความอดทดของเด็กมาก ระหว่างอยู่วัดก็สอนหนังสือให้เด็ก ไม่น่าแปลกใจคนเวียตนามจึงมีคุณภาพมาก