วันอาทิตย์ที่ผ่านมา(28ม.ค.)ผมไปร่วมเป็นวิทยากรกระบวนการประชุมโครงการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่นของต.หูล่อง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งได้งบจากพอช.กว่า2แสนบาท มีเป้าหมายเพื่อหารือเรื่องพัฒนาองค์กรในตำบล ผู้เข้าประชุมประมาณ 25 คนจากคณะทำงานโครงการและ ตัวแทนกลุ่มองค์กรซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มการเงินและกลุ่มอาชีพที่มีความตั้งใจในการทำงานมาก
AARของผมคือ เป้าหมายการประชุมไม่ชัด ทำให้กำหนดผู้เข้าร่วมไม่ชัดเจนไปด้วย ผลที่ได้จึงคลุมเคลือ (แต่ก็เป็นการดำเนินงานโดยชุมชน ซึ่งการประชุมของหน่วยงานก็มักเป็นอย่างนี้ แม้ในแวดวงผู้บริหารระดับสูง)
ผมได้ความรู้อื่นเพิ่มขึ้น 1 เรื่องคือ
งบสนับสนุนของพอช.ในนครศรีธรรมราชมี3กิจกรรมหลักคือ 1)สวัสดิการชุมชนสมทบตำบลละ 1แสนบาท 2)โครงการฟื้นฟูชุมชนท้องถิ่น 6 ตำบล 3)แผนชีวิตชุมชนทั้ง165ตำบล ซึ่งแผนชีวิตชุมชนมีแนวคิดการดำเนินงานตรงกับโครงการสำรวจคนจน400หมู่บ้านของกรมการปกครองและเครือข่ายยมนา จึงเป็นการดำเนินงานที่ค่อนข้างซ้ำซ้อนกัน ที่จริงผมรู้มาก่อนว่า ตำบลกะหรอได้งบแผนชีวิตชุมชนและเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านเป็นแกนรับผิดชอบ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ทำให้เห็นความซ้ำซ้อนในการทำงานของหน่วยงานราชการและองค์กรชุมชนที่ทำให้1+1+1+1เท่ากับ 0 หากไม่สามารถเห็นภาพรวมและเชื่อมโยงกันได้ทั้งหมด
หลายอย่างเป็นโครงการนำร่อง(เงื่อนไขพิเศษ)เพื่อนำไปสู่การขยายผลที่กว้างขวาง(ระบบปกติ) แต่ขาดการประสานทำความเข้าใจกัน
(การขยายผลสู่)ระบบปกติคือ ระบบตามโครงสร้างการบริหารของรัฐที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดประกอบด้วย
1)อปท.
2)งบพัฒนาตามนโยบายและแผนงานของกรมกองต่างๆที่สำคัญคือหน่วยงานหลักในพื้นที่
2.1)เกษตร คือ พัฒนากลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนผ่านศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีตำบล เกษตรปลอดภัยและภูมิปัญญาท้องถิ่น กิจกรรมแรกเป็นกิจกรรมกระทบกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
2.2)สาธารณสุข คือ โครงการเมืองไทยแข็งแรงผ่านกลุ่มอสม.(เท่าที่ทราบ)
2.3)พัฒนาชุมชน คือ OTOP กลุ่มการเงิน(กขคจ. ออมทรัพย์เพื่อการผลิต กองทุนหมู่บ้าน)
2.4)กศน.คือ สนับสนุนการเรียนรู้ของกลุ่มอาชีพ
4 ทหารเสือต่างทำงานในตำบลอย่างขยันขันแข็ง
3)งบซีอีโอ มีหลักการเป็นกิจกรรมเชื่อมโยงและนำร่อง เสริมในส่วนที่ระบบปกติยังขาดอยู่
4)งบกิจกรรมผ่านหน่วยงานพิเศษคือ พอช. สกว. สสส.ฯลฯ ส่วนใหญ่จะทำเป็นโครงการนำร่องเรื่องรูปแบบและแนวคิดเพื่อให้ขยายผลผ่านระบบปกติ คือ1ถึง3 แต่บางครั้งก็เน้นผิดจุดด้วยเงื่อนไขหลายประการ เช่น เรื่องแผนชีวิตชุมชน165ตำบลในจ.นครศรีธรรมราชที่ไม่ควรซ้ำซ้อนโดยไม่เชื่อมโยงหารือกับโครงการ400หมู่บ้านโดยงบซีอีโอ
ผมเห็นว่าเรื่องนี้ ฝ่านนโยบายและแผนของจังหวัดควรทำงานเชิงรุก ทำหน้าที่กระตุ้น ผลักดัน ประสานเชื่อมโยงงบกิจกรรมจากส่วนงานต่างๆให้เกิดการบูรณาการทั้งงบประมาณและคนทำงานโดยใช้พื้นที่ระดับตำบลเป็นหน่วยดำเนินการหลัก
ท่านผู้ว่าน่าจะใช้งบซีอีโอพัฒนาหน่วยดังกล่าวในเชิงรุก โดยให้หน่วยจัดการความรู้เพื่อชุมชน ม.วลัยลักษณ์เป็นที่ปรึกษาได้ครับ ซึ่งอ.วิจารณ์เสนอว่า เพื่อการันตีการทำงานอย่างจริงจัง ควรคิดเงินค่าที่ปรึกษาด้วย
ถ้าไม่ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป้าหมายที่ตั้งไว้ในแต่ละเรื่องจะได้ผลไม่ถึงครึ่งเพราะขาดการรวมพลัง เพื่อให้การทำงานเป็นทีมซึ่งต้องเห็นภาพรวมทั้งระบบ
ไม่มีความเห็น