กระผมได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังบรรยายพิเศษ เรื่อง
“การปฏิรูปการศึกษาไทย”
โดยผู้บรรยายคือ ศาสตราจารย์ ดร.เกษม
วัฒนชัย องคมนตรี ณ ห้องบอลรูม เมืองทองธานี
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ.2545
มีรายละเอียดที่น่าสนใจจากเอกสารพอสรุปได้ดังนี้กระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้สังคมโลกเปลี่ยนแปลงด้านพลังอำนาจของชาติต่าง
ๆ อย่างรวดเร็วหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
สงครามเย็นยุติ (พ.ศ.2533)
มหาอำนาจทางทหารเหลือหนึ่งเดียว คือ สหรัฐอเมริกา
การแข่งขันด้านเศรษฐกิจมีความรุนแรง แยกเป็น
3 ขั้วอำนาจคือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป
และเอเชียโดยเฉพาะญี่ปุ่นและจีนประเทศต่าง ๆ
สร้างความเข็มแข็งให้เยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติเป็นมาตรฐาน
ให้เรียนรู้และคิดเป็นสร้างนวัตกรรมได้
เพื่อความอยู่รอดของชาติและเผ่าพันธุ์ตนเองในอนาคต
ในสังคมใหม่ “ การครอบโลก” คือการสั่งการโดยอำนาจทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจต่าง ๆ
ความอยู่รอดของชาติและเผ่าพันธุ์
กลับแปรเปลี่ยนเป็น “ทรัพยากรมนุษย์”
ที่มีความรู้รอบด้านและมีประสิทธิภาพ
ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ
ที่แสวงหาความรู้ได้เองจากสื่อทุกประเภท
เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ความรู้ใหม่ โดยการวิจัย
ทดลอง การลองผิดลองถูกเพื่อเป็นทรัพย์สมบัติของชาติตน
ดังแนวทางของชาวยุโรปได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตเมื่อ 100
กว่าปีที่ผ่านมาลองผิดลองถูก วิจัย
ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ
ผลออกมาได้เป็นศาสตร์และทุกคนยอมรับเป็นมาตรฐานสากล
ประเทศไทยเคยปฏิรูปการศึกษามาแล้วครั้งหนึ่ง
เมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ครั้งนั้นกระทำเพื่อจัดระบบการศึกษาใหม่ให้ทันสมัยนิยม
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2
ที่ประเทศไทยต้องปฎิรูปการศึกษาครั้งใหญ่ ตามเจตนารมณ์ใน
พรบ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ที่ระบุให้สถานศึกษาทุกแห่ง
ต้องพัฒนาตนเองให้ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากสากล
โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจสอบและประเมิน คือ สมศ.
(สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา)
ทั้งนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ตามแนวทางหลากหลายของแต่สถาบันที่ระบุตามกฎหมายให้ผลิต
โดยทั้งหมดมุ่งเพื่อ ให้ “คนในชาติ” มี
”ทุนความรู้”
ในการขยายโอกาสในการสร้าง “ความรู้ใหม่” “รู้จักคิดเป็น”
มีจินตนาการและความคิดสร้าง สรร
ซึ่งจะส่งผลให้คนในสังคมการเรียนรู้นั้นหยั่งรู้วิธีการประยุกต์ความรู้
คือการ พัฒนาเทคโนโลยีใหม่
ๆ สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
และหลากหลาย
เส้นทางทุกสายจึงมุ่งที่ผู้เรียน “เรียนรู้
และคิดเป็น” และมีส่วนประกอบสำคัญ
คือ “คุณธรรม จริยธรรม
และคิดดี”
เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติ
คือ
1.การเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตของประชาชน
2.ประโยชน์และการพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของชาติ
3.การอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรของชาติ
กระบวนการเรียนรู้ ที่ดีมีมาตรฐาน ก่อให้เกิดความรู้
เทคโนโลยีจากตะวันตกเกิดจากการลองผิดลองถูก
และประสบการณ์บรรพชน ในแนวทางวิทยาศาสตร์
ที่มีการพิสูจน์ วิจัย
ค้นคว้าทดลองจึงทำให้ความรู้และเทคโนโลยีก้าวกระโดดไปไกลในช่วง
100 ปีที่ผ่านมา
หากนำวิธีการดังกล่าวมาใช้กับภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยก็น่าจะทำให้เกิดความรู้และเทคโนโลยีใหม่
ๆ ในประเทศไทยได้เช่นกันการปฎิรูปการศึกษาคืออนาคตของชาติ คนรุ่นใหม่
เยาวชนไทยในอนาคตต้องเข็มแข็งด้วยความรู้
วิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
รู้รักษาชาติและเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอด
จากยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย
สังคมใหม่คือสังคมความรู้ที่รวดเร็วฉับใว และต้องแม่นยำ
การปรับเปลี่ยนที่สัมพันธ์กันเสมอ เช่น
อาชญากรข้ามชาติ เศรษฐกิจระบบใหม่
การเมืองที่แปรปรวน การกลืนภาษาและวัฒนธรรม
การเกิดชนชั้นรุ่นใหม่ คำกล่าว “การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่ง” เป็นคำกล่าวที่เป็นอมตะตลอดไป
สรรพสิ่งต้องปรับตนเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ที่เปลี่ยนไป
หากสิ่งใดทำไม่ได้ก็จะสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้
การปรับเปลียนต้องเกิดขึ้นในการบริหารองค์กร คนยุคใหม่
“คิดให้ไกลตัว “ และแยก “อัตตา” คือความเห็นแก่ตัวออกไปให้มากที่สุด
และคิดให้ดีให้ไกล เช่นความคิดรู้คุณท่าน ครู
อาจารย์ ชาติ
คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม
ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก
คิดถึงการจัดระเบียบวินัยชุมชน
คิดต่อผู้อื่นในเรื่องดี ๆ ยึดผู้รับบริการเป็นสำคัญ
และคิดเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์อนาคต
เตรียมรับมือสิ่งต่าง ๆ
ให้พร้อมที่สุดทุกประเทศเน้นการสร้าง
“ทุนมนุษย์” ให้เรียนรู้และคิดเป็นเพื่อ “สร้างนวัตกรรมใหม่”
คนไทยพร้อมกันหรือยัง
ไม่มีความเห็น