บันทึกวันที่ 31 มกราคม พศ. 2549
วันนี้เราก็ได้ลงไปที่โรงเรียนวังตะกูราษฐอุทิศ ก็มีทีมงานด้วยกัน 4 คน แล้วก็มีน้องๆมาฝึกงาน2คนซึ่งเป็นรุ่นน้องเปีย2คนซึ่งมาฝึกเป็นวันที่2ก็พาลงพื้นที่เลยซึ่งไปช่วยจดบันทึกซักถาม ลงไปช่วยสรุปปิดโครงการเลย ( งานแรก)
1. คุณอิทธิพล บุญบุตร ( อำนวย )
2. คุณจันทร์เพ็ญ พันธุ์เขียน ( การเงิน )
3. คุณสุวัฒน์ ศรีทัน ( บันทึก +ลิขิต )
ซึ่งมีน้องๆที่ฝึกงานช่วยในการจดบันทึกเหมือนกับเรียนรู้แลกเปลี่ยนกันไปด้วยในเวที
เปียก็เริ่มขบวนการชวนอาจารย์นิษณากับอาจารณย์สุทินพูดคุยไปตามภาษาคุณอำนวยแต่อาจารณย์ก็ยังไม่ได้เอาองค์ความรู้ออกมาให้เราซึ่งเป็นคุณบันทึกได้จดสักเท่าไรแต่พอได้พูดคุยไปเรื่อยๆก็เริ่มที่จะออกมาซึ่งคุณอำนวยกับคุณบันทึกช่วยกัน ก็ได้เทคนิคจากอาจารณ์ทรงพลนั่นร๊ะครับ 9 ข้อซึ่งอาจารณ์ที่ให้เป็นกรอบหลักๆในการถอดบทเรียนแล้วผสมกับความคุ้นเคยกันมาก่อนจากที่ไปศึกษาดูงานที่ลพบุรีซึ่ง cop ทายาทเกษตรก็เลยได้อะไรดีมาก
ผลที่ได้รับจากโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในฝัน
1. นักเรียนได้ความรู้ความเข้าใจในด้านพิษภัยของสารเคมีแล้วตระหนัก
2. นักเรียนกล้าคิดกล้าแสดงออกต่อหน้าสาธารณะชนแล้วรู้จักคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหาได้เอง
3. นักเรียนได้เป็นแกนนำแล้วในกลับไปบอกครอบครัวแล้วขยายต่อชุมชน
4. นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับการแบ่งเวลาให้เป็นประโยชน์ ซึ่งเมื่อก่อนเด็กได้เอาเวลาไปเล่นเกมออนไลนท์
5. นักเรียนได้การทำงานกันเป็นทีมและเครือข่ายแล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
6. นักเรียนและผู้ปกครองมีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม ผลมาจากการตรวจหาสารตกค้างและสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
7. แม่ค้าได้เห็นความสำคัญตระหนักพิษภัยสารเคมีให้กับผู้บริโภค ( มี อย. )
8. นักเรียนรู้จักการทำงานแบบบูรณาการระว่างครูผู้ปกครองชุมชนเข้าด้วยกัน
ผลที่ไม่ได้คาดหวังแต่ได้จากโครงการโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพในฝัน
1.ได้น้ำใจ ความใกล้ชิด จากเด็กที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
2.ได้คุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความเอื้ออารีซึ่งกันและกัน
3. จากเด็กที่ก้าวร้าวก็กลายมาป็นเด็กที่อ่อนโยน ซึ่งเมื่อก่อนจะเป็นเด็กที่เกเรมากโดดเรียนแต่พอมาทำโครงการเด็กกลับมาสนใจการเรียนมากขึ้น
4. ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้ปกครองมากขึ้น จากเมื่อก่อนเวลาจะไปศึกษาดูงานต้องทำหนังสือให้ผู้ปกครองแต่เดี่ยวนี้แค่โทรไปบอกก็ให้ไปแล้ว
5. เด็กๆกล้าที่จะมาปรึกษาปัญหากับอาจารณย์มากขึ้น
6 นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาที่เค้าเจอแล้วแก้ไขไปในสิ่งที่ดีขึ้น
7. นักเรียนได้เอาความรู้นี้ไปดำเนินชีวิตประจำวันให้อยู่รอดได้
8. นักเรียนได้หันกลับมามองตัวเองมากขึ้น ได้สติ จากเมื่อก่อนได้รับคำสั่งก็ทำๆๆไม่ได้มองว่าทำไปแล้วมันเกิดผลอย่างไร
9. นักเรียนได้ใส่ใจกับการปลูกผักปลอดสารและงานอื่นๆมากขึ้น (ใส่ใจเขาใส่ใจเรา) เช่นจะดูว่าเขารดน้ำผักจะสดใสใหมหรือว่าเหียว แล้วจะทำให้เคาสดใสอย่างไร
10. การอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะและรายพิษเศษได้ในเวลาเรียน ( เก็บผักขายให้กับแม่ค้า )
11. จากเด็กที่เป็นเพื่อนกันมาก่อนกับแตกคอกัน กับจากไม่รู้จักกันมาก่อนกับมาเป็นเพื่อนกัน( ดาบสองคม)
ความคิด ทักษะ ความรู้ ใหม่ๆที่ได้
1. คุณธรรม จิระธรรม ความซื่อสัตย์ทรุดจริต
2. รู้จักตัวตนเองมากขึ้น
3. แบ่งเวลาใหเป็นประโยชน์
4. เปิดโลกปะทัศน์มากขึ้น
ความประทับใจในตัวเด็ก
- ประทับใจที่เด็กได้มีความเอื้ออาทร มีความซื่อสัตย์ สุจจริต
- มีคุณธรรม จริยธรรม เด็กได้รู้คุณค่าของคำ " เกษตรกร" ได้หันมามองตัวเองและท้องถิ่นที่อยู่อาศัย จากเด็กที่เกเรก็หันมาปรับปรุงตนเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมาก
- เด็กได้มองเห็นปัญหาจากครอบครัวตนเองที่เกิดขึ้นต้องการช่วยแก้ไขและมีใจที่จะทำเต็มร้อย
วิธีการทำเกษตรปลอดสาร
เด็กๆและอาจรารณ์ก็ทำมาเด็กจบไป 2 รุ่นแล้วครับต่อยอดมาเรื่อยๆ 3-4 ปีแล้วครับ
ที่บ้าน
- นักเรียนทำที่บ้านของตนก่อน มีการเตรียมแปลงดิน การเตรียมดิน ทำปุ๋ยคอกจากวัสดุจากท้องถิ่น ขี้วัว ขี้ไก่ แกลบดำ แล้วก็นำไปใส่ในแปลงที่เตรียมไว้ทิ้งไว้ 1 อาทิตย์พอไปจับดินถ้าดินซุ้ยก็ใช้ได้นำกล้าที่เตรียมไว้ไปปลูก
- อีกอย่างหนึ่งอยู่ใกล้ๆกับปราชญ์พิจิตร ลุงณรงค์ แฉล้มวงค์ ลุงสืบ กลิ่นชาติ ได้เข้าไปให้ความรู้และวิการปฎิบัติแล้วก็นำเข้ามาในโรงเรียน ลงมือปฎิบัติในโรงเรียนและมีครูที่ให้การสนับสนุนทั้งด้านวิชาการและภาคปฎิบัติ อ. สุทิน อ. นษิณา แล้วก็ ผอ. สมควรซึ่งได้เล้งเห็นความสำคัญในการทำผักปลอดสารและแนวคิดเศรฐกิจพอเพียงและสุขภาพจิตใจของเด็กๆ
ที่โรงเรียน
- ในโรงเรียนก็ทำประมาณ ครึ่งไร่ ในบริเวณโรงเรียนที่ว่าง เด็กๆก็เตรียมดินใช้แกลบดำขี้เถ้าขี้วัวไปผสมแล้วนำไปใส่แปลงผักใช้จอบสับๆให้เข้ากันและเอาฟางข้าวมาคุมทับใช้นำหมักชีวภาพรดทิ้งไว้ประมาณ 7 วันแล้วก็นำเมล็ดพันธุ์ผักมาลงแปลง
- นักเรียนนำวิธีการจากประสบกราณ์ที่บ้านมาปรับทำในโรงเรียน " การปลูกผัก "
การเปลี่ยนแปลงของนักเรียน
1. รู้จักการแยกแยะแบ่งเวลาในการทำเกษตรและเรียนควบคู่กันไป เช่นตอนเลิกเรียนเสร็จก็จะไปเที่ยวเล่นตามร้านเกมส์ แต่พอมีกิจกรรมก็ได้แบ่งเวลาในการทำโครงการนี้เพราะเด็กต้องมาทำความเอาใจใส่กับแปลงผักที่ตนเองปลูกอยู่มากกว่าที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพราะต้องการเห็นผักที่ตนเองทำอยู่เจริญเติมโต
2. นักเรียนสามารถหารายได้นำเงินส่วนนี้มาช่วยในการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอ
3. นักเรียนสามารถนำปัญหามาคิด วิเคราะห์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เช่น สปริ้งเกอร์น้ำจะกระจายและชุ่มเฉพาะหน้าดิน เด็กก็ต้องการที่จะนำนำหยดเข้ามารดน้ำผักแทน
4. นักเรียนมีความออนโยนทางจิตใจที่ดีขึ้น เด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักเป็นห่วงคนรอบข้างมากขึ้น
5. เด็กรุ้วิธีการเข้าสังคม สามารถเข้าสู่สังคมได้มีกริยามารยาทอ่อนน้อมมากขึ้น จากเมื่อก่อนกิริยามารยาทที่ก้าวร้าว เด็กก็อ่อนลง
นี่ก็เป็นข่าวที่ทีมมูลนิธิร่วมพัฒนาพิจิตรได้นำมาเล่าสู่กันจากการลงเวทีติดตามโครงการของอำเภอบางมูลนาก เป็นเวทีแรกที่ไปถอดบทเรียนอย่างไรก็ขอคำติชมด้วยนะครับ อาจารณ์
บันทึก หนุ่ม : 22.30 น. 31/1/2549