เมื่อมาถึงสนามบิน มีรถบัสมารับ คนขับเป็นชาวญี่ปุ่นผิวคล้ำยังกับคนอีสานบ้านเฮา แล้วก็หน้าตายิ้มแย้มท่าทางใจดี ออกเดินทางจากสนามบินไปเที่ยวที่แรก วัดดาไซฟูเป็นวัดกึ่งศาลเจ้าเก่าแก่ สร้างมาแล้วกว่า 600 ปีดังที่สุดในตอนใต้ของญี่ปุ่นที่มีจุดเด่นหลายประการ>>>
จากที่นี่แล้ว ไปรับประทานอาหารกลางวันเป็นอาหารชุดแบบ เบนโตะ ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นบ้านเรา
ที่เที่ยวต่อไปคือ เมืองเบบปุ ที่มีบ่อน้ำพุร้อนสีดินแดง กับอีกบ่อที่ไปจะเป็นสีฟ้าน้ำทะเล บ่อที่สองนี้ มีบ่อเล็กๆ ใส่น้ำไว้ให้เอาเท้าไปแช่กันได้ ในบ่อมีหินภูเขาไฟก้อนเล็กให้ไปยืนเหยียบเล่น
ตามบ้านเรือนที่เมืองนี้ใช้น้ำแร่เป็นน้ำประปา ทำให้คนมีผิวพรรณผุดผ่องดูอ่อนกว่าวัย โดยเฉพาะผู้หญิง ชักอยากมาอยู่แล้วสิ
ที่ตลกอย่างหนึ่งคือ ตอนไปบ่อเลือด (สีแดง) มีการตั้งโต๊ะขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับน้ำแร่ คนขายเป็นผู้หญิงสองคน พอเห็นเราเดินไปเขาก็ทำท่าเทน้ำแร่ออกมาใส่ที่มือ แล้วก็เอามาทาที่มือของเขาให้ดู เสร็จแล้วก็ให้เราลองบ้าง เราก็เลยเอามาทาหน้า พอกลุ่มของเราเข้ามามุงดู คราวนี้การสาธิตของคนขายก็เปลี่ยนไปโดยเอาไปทาที่หน้าบ้างตามแบบที่เราทำ แม้จะพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เขาคงเดาออกว่าพวกเราคงรักสวยรักงามกันทั้ง น้าน....
ตอนไปที่ เที่ยวสุดท้ายคือไปหมกทราย และอาบน้ำแร่ใน Hyotan Onsen สมาชิกทัวร์ชื่นชอบกันมาก ติดใจเรียกหาอีกรอบ แม้แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์อาบน้ำล่อนจ้อนในที่สาธารณะแบบนี้มาก่อน ก็เลิกอายกันแล้ว เพราะมีเทคนิคการปกปิดที่คนญี่ปุ่นรับไม่ได้ เล่นใส่ยูกะตะเข้าไปในห้องอาบน้ำ พร้อมผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ คนญี่ปุ่นเวลาอาบน้ำต้องมีผ้าผืนเล็กเอาไว้ขัดหลัง
ตอนเย็นพวกเราได้รับประทานอาหารกับชาวบ้านที่เราจะต้องไปอยู่บ้านเขา 2 คืน พวกเรา 21 คนรวมพี่ไกด์เป็ดอีก 1 คน ได้รับการแบ่งกลุ่มไปตามบ้านต่างๆ 6 หลัง โดยการจับสลาก เป็นเรื่องน่าแปลกเมื่อผ่านไปแต่ละวัน ดูเหมือนแต่ละคนจะได้บ้านที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ถูกจริตกันแทบทุกกลุ่ม อ.คนไร้กรอบ บอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เหมือนเราได้กลับมาเยี่ยมญาติที่จากกันไปนาน
สำหรับกลุ่มเรา มีครอบครัวของคนดอย กับครอบครัว citrus ที่ไปอยู่บ้านของนักเล่านิทาน คุณลุงกับภรรยา อายุหกสิบกว่ากันแล้ว (เราเรียกเขาว่า โอโต้ซัง กับ โอก้าซัง คล้ายพ่อใหญ่ แม่ใหญ่ของอีสาน) อยู่ในบ้านที่เรียบง่าย เขาบอกว่าเขาเป็นคนจน ถ้าเทียบกับครอบครัวอื่นๆ ขนาดว่าจน ในบ้านก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกพอสมควร เช่น มีที่กรองน้ำ เพิ่งสังเกตเห็นทีหลังว่า เครื่องนี้สุดยอดเลย มีปุ่มให้เลือกปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ตามการใช้งาน เช่น ใช้ล้างหน้า ใช้ดื่ม ใช้ปรุงอาหารต้องเลือกปุ่มไม่เหมือนกัน
อากาศที่นี่เย็นมากๆ มากกว่าที่คิดไว้ เพราะอยู่บนเขาและเจ้าของบ้านเขาก็ไม่เปิด heater ทำให้พวกเรา 4 คนได้สัมผัสอากาศหนาวเย็น โดยเฉพาะตัวเองไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต นั่งคุยกันที่บ้านพักนึง เพื่อสืบสาวว่าเขาทำงานอะไร กว่าจะจับต้นชนปลายก็เล่นเกมสื่อสารภาษามือ และเกม 20 คำถาม แถมด้วยการแกะรอยตามแบบวิชาสอบสวนของนักสืบ ในที่สุดจึงรู้ว่า โอโต้ซังท่านนี้เป็นนักเล่านิทานพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องราวของ คิกชอมซัง คงคล้ายกับศรีธนญชัยบ้านเรา ที่มีเรื่องราวกว่า 200 ตอน คืนนั้นนอนหลับแล้วก็มาตื่นกลางดึกเพราะหนาวจนฟันกระทบกัน
สวัสดีค่ะ
ไม่ได้คุยกันนานมากค่ะ คิดถึง จริงๆค่ะ
พูดถึงฟูกุโอกะ พี่เคยไป บ้านเมืองเขาสวยดี อยู่2 วันค่ะ
เคยทราบมาว่า ที่นี่รางวัล The Fukuoka Asian Culture Prize
เพื่อแสดงถึงบทบาทของนครฟูกุโอกะ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,000 ปี ในฐานะ "ประตูสู่อาเซีย" (Gateway to Asia) อันเป็นที่ ซึ่ งวัฒนธรรมญี่ปุ่นมีปฏิสัมพันธ์กับวัฒนธรรม ชาติอื่นๆ ในอาเซีย
อาจารย์นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ เคยได้รับรางวัล The Fukuoka Asian Culture Prize ในฐานะ นักวิชาการ คำประกาศเกียรติคุณระบุ ว่า อาจารย์นิธิเป็น "นักประวัติศาสตร์ ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ที่ประเทศไทยเคยมีค่ะ
ตามมาอ่านติด ๆ ครับผม....
มีโอกาสแล้วพบกันครับพี่ส้ม-พี่ยอด
คิดถึง น้องแมวเหมียว เช่นกันค่ะ
ถ้ามีงานจิบน้ำชา อีก เราน่าจะนัดรวมรุ่นบ้างนะคะ
วาสนามีคงได้พบกันใหม่นะคะ