ปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมงานทีมวิจัยที่ทำเรื่องเกี่ยวกับฐานข้อมูลสุขภาพชุมชนในระดับเทศบาลตำบลปริก อ.สะเดา โดยออกไปร่วมทำ KM กับชุมชน เพื่อกลับมาสร้างระบบเก็บ tacit knowledge ในรูปแบบระบบเว็บ และระบบฐานข้อมูลตัวชี้วัด สำหรับเป็น feedback ให้ชุมชนและผู้บริหารเทศบาลตำบล
...ทั้งที่คนที่ทำ ไม่มีใครชำนาญตรงกับประเด็นนี้สักคน
...แต่งานจะออกมาในระดับที่ผมคิดว่า น่าพอใจ
(หากสนใจ ลองเข้าไปดูฐาน KM ที่ http://tonprikinfo.org และฐานตัวชี้วัด อยู่ที่ http://www.tonprikinfo.org/application/index.php ซึ่งข้อมูลดิบ อาจยังมีไม่มาก เพราะเป็นระบบที่ออกแบบให้ทำงานไปข้างหน้า ข้อมูลเก่าใส่นิดหน่อยเพื่อทดสอบระบบและเป็นจุดตั้งต้น โดยผู้ใช้ทั่วไป สามารถดูรายงานสาธารณะบางส่วนได้โดยไม่ต้อง login)
ผมเชื่อว่า คนที่เขาเคยจับทำด้านนี้มาก่อน ก็คงมาในแนว ๆ นี้ แหละ แต่การที่ทีมหน้าใหม่สามารถทำได้อย่างที่ทำ ผมถือว่า เป็นเรื่องมหัศจรรย์
เรื่องที่ผมจะนำมาเล่า น่าสนใจในเชิงของบทเรียน ของการเกิดทีมวิจัย
นั่นคือ ทีมวิจัยนี้ มีการเสริมพลังกันได้แบบลงตัว ทั้งที่แต่ละคนในทีม อยู่กันคนละสาขา และต่างความสนใจ อย่างสิ้นเชิง
ทำไมผมจึงกล่าวว่าลงตัว ?
1. มีความหลากหลายของความชำนาญ กล่าวคือ เมื่อแยกเป็นประเด็นย่อยใด ๆ จะมีคนที่รู้เรื่องอยู่เสมอ ทั้งนี้ขอบข่ายเนื้อหากว้างมาก คือแนว มิติชุมชน + การจัดการความรู้ + web + database + สาธารณสุข ซึ่งหาคนที่ถึงพร้อมทุกด้านแบบไม่ได้เลย แต่เมื่อมองภาพรวม ทีมจะฉลาดกว่าคนเดี่ยว ๆ เพราะสามารถใช้คนที่รู้ลึกเพียงด้านเดียว มารวมกันทำให้ลุล่วงได้
ความหลากหลายนี้ เป็น สินทรัพย์ คือทำให้ไม่เกิดการย้ำคิดย้ำทำตะบี้ตะบันแต่ในเรื่องที่ตนเองชิน จำเป็นต้องแหวกความเคยชินของตัวเองออกมา
2. มีความซ้อนเหลื่อมของความชำนาญอยู่เสมอ อย่างน้อย 1-2 คน ที่รู้ในระดับลึก และอีก 1-2 คน ที่พอฟังรู้เรื่องแบบสบาย ๆ
ถ้าไม่มีการซ้อนเหลื่อมกันเลย ผมเชื่อว่า งานคงออกมาได้ไม่ดี
ความซ้อนเหลื่อมนี้ เป็นเหมือนกาวความรู้ ที่ทำให้ชิ้นส่วนย่อย เกาะติดกันได้เหนียวแน่น
เช่น เมื่อพูดถึงเรื่อง การหาอายุขัยเฉลี่ย คนหนึ่งมองในเรื่องประเด็นทางสาธารณสุข คนหนึ่งมองในเรื่องแนวทางการบริหารการไหลเวียนของข้อมูล อีกคนหนึ่งมองในเรื่องภาษา SQL สำหรับคำนวณ (กรณีนี้บังเอิญง่าย ก็อาจเป็นกรณีตัวอย่างที่เห็นไม่ชัดนัก)
ผลคือ เวลาคุยกัน เสริมกันคนละนิดคนละหน่อย งานก็เคลื่อนไปได้
ประเด็นไหน มีการซ้อนเหลื่อมความรู้หลายคน ประเด็นนั้นจะไปเร็วมาก
การซ้อนเหลื่อม อาจมีหลายมิติ เช่น
กรณีนี้ เป็นตัวอย่างว่า ทีมที่เสริมพลังกันได้ดี ต้องหลากหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อคิดแหวกแนวได้ แต่ต้องมีการซ้อนเหลื่อมกันอยู่บ้าง เพื่อทำหน้าที่เป็นกาวเชื่อมความรู้คนในทีมให้ขับเคลื่อนได้เร็ว
การสร้างตัวชี้วัดเพื่อการพัฒนาน่าจะต่างจาก
การพัฒนาโดยใช้ตัวชี้วัดเป็นเครื่องมือ
ผมขอยืมไปใช้ในงานด้วยครับ
ถ้าอาจารย์ลงไปปริก
ฝากความระลึกถึงนายกสุริยาด้วยครับ