บทเรียนชีวิตจากเจ้าพ่อ iPod/McIntosh


ยาวหน่อยแต่รับรองว่าคุ้มค่า Stay hungry, stay foolish

ขอเอาเรื่องดีๆมาให้อ่านเพิ่มพลังชีวิต เนื่องในโอกาสตรุษจีน เป็นเรื่องที่คุณหมอ ชัยภัทร ลูกชายผมเขามีฉันทะแปลให้เพื่อนๆอ่าน ผมเองอ่านแล้วรู้สึกทึ่งในreflection ของนาย สตีฟ จ็อบ มาก เขาเป็นต้นคิดคอมพิวเตอร์ apple ที่ต่อมาพัฒนาเป็น McIntosh ที่หลายคนอยากใช้เพราะแสดงผล graphic ได้ดีแต่กลัวไม่คุ้น เพราะถูก PC windows ครอบไปเสียแล้ว

ปัจจุบันต้องแนะนำว่าเขาคือเจ้าของ iPod สารพัดรูปแบบ รวมทั้ง iPodNano mี่วัยรุ่นอยากได้เป็นเจ้าของกันมากที่สุด(แต่ราคาแพงชะมัดญาติ)ในขณะนี้

บทความนี้เป็น speech ที่เขาพูดกับนักศึกษาทีมารับปริญญาของมหาวิทยาลัย standford ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่อเมริกา

ลองมาอ่านความคิดและบทเรียนชีวิตของคนที่สมองปราดเปรื่องช่างคิดค้นแต่ไม่จบมหาวิทยาลัยดูครับ

ขอบคุณครับ .. ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาพบทุกๆ คนในวันนี้ เนื่องในวันรับปริญญาของมหาวิทยาลัยที่นับได้ว่าดีที่สุดที่หนึ่งของโลก ว่ากันตามจริงแล้ว .. ผมไม่เคยจบการศึกษาระดับปริญญาเลย...และการมาพูดครั้งนี้คงจะนับได้ว่าเป็นการเข้าใกล้การรับปริญญามากที่สุดในชีวิตของผมแล้วก็เป็นได้

วันนี้ผมมาเพื่อที่จะบอกกล่าวเรื่องราวในชีวิตของผม ทั้งหมด 3 เรื่อง ..แค่นั้นเอง..

เรื่องแรกเกี่ยวกับ การโยงเส้นต่อจุด ผมลาออกจากมหาวิทยาลัย Reed ตั้งแต่ 6 เดือนแรก ..แต่หลังจากนั้น ก็วนเวียน ลงเรียนวิชาต่าง ๆ อีกเป็นเวลาประมาณ 18 เดือนเห็นจะได้ ...ก่อนที่จะเลิกเรียนมันซะจริงๆ ..ทำไมผมถึงลาออกน่ะเหรอ? .. เรื่องมันเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนผมเกิดซะอีก .. แม่จริง ๆ ของผมเป็นหญิงสาว แล้วก็ไม่ได้จบการศึกษา ..ท่านเลยตัดสินใจที่จะยกผมให้กับผู้ปกครองที่อยากจะรับดูแล ซึ่งท่านหวังว่าคนที่จะมารับดูแลจะเป็นคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ..เรื่องมันก็เลยลงเอยที่ว่า ผมถูกกำหนดให้รับเลี้ยงโดยครอบครัวของทนายและภรรยา

..จนเมื่อผมเกิดออกมาเท่านั้นแหละ..พวกเขาก็เกิดเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายว่าอยากได้ลูกสาวแทน.. ทำให้พ่อแม่ของผม ซึ่งมีชื่ออยู่ในรายการรอรับบุตรบุญธรรม ถูกปลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อที่จะบอกว่า .. “เราบังเอิญมีเด็กผู้ชาย คุณสนใจจะรับเลี้ยงเขามั้ย” ..และพวกท่านก็ตอบทันทีว่า “แน่นอน” ...ซึ่งแม่แท้ ๆ ของผมมารู้เอาทีหลังว่าแม่บุญธรรมของผมไม่ได้จบมัธยมด้วยซ้ำ ... ตอนแรกก็เกือบจะไม่ยอมเซ็นสัญญา จนพ่อแม่ของผมสัญญาว่าจะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยจึงได้ยอมตกลง ชีวิตผมก็เริ่มต้นขึ้นแบบนี้แหละ...

จน 17 ปีต่อมา ผมก็ได้เข้ามหาวิทยาลัยจริง ๆ แต่มหาวิทยาลัยที่ผมเข้าเรียนมีค่าเล่าเรียนสูงมาก ขนาดเท่ามหาวิทยาลัย Stanford เลยทีเดียว ทำให้พ่อแม่ของผมซึ่งเป็นชนชั้นทำงาน หมดเงินสะสมไปกับค่าเล่าเรียนของผม...หลังจากเรียนไป 6 เดือน...ผมไม่รู้สึกเลยว่ามันจะมีค่าอะไร ..ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรกันแน่กับชีวิต ..แล้วก็ไม่รู้สึกด้วยว่าเรียนไปแล้วมันจะได้คำตอบ ... แล้วเป็นไง...ผมก็มานั่งเรียนเหมือนผลาญเงินพ่อแม่ที่ท่านอุตส่าห์เฝ้าสะสมมา.. ผมเลยตัดสินใจที่จะเลิกเรียน โดยหวังว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ..

จริง ๆ ตอนนั้นมันอาจฟังดูน่ากลัว...แต่พอมองย้อนกลับไป .. ผมว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลย

..ในนาทีที่ผมลาออกนั้นเอง...ผมก็เลิกไปเข้าชั้นเรียนภาคบังคับเดิมของผม..ซึ่งผมไม่ได้สนใจเลย..ไปลงเข้าชั้นเรียนใหม่ที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากกว่า แต่มันก็ไม่ได้หอมหวานนักหรอก ผมไม่มีหอพัก .. เลยต้องนอนบนพื้นห้องของเพื่อน ..แล้วก็เก็บขวดโค้กไปคืน แลกกับ เงินทีละ 5 cents ไปซื้อข้าวกิน.. แล้วก็ต้องเดินวันละ 7 miles ข้ามเมือง ทุกคืนวันอาทิตย์ เพื่อจะไปกินอาหารดี ๆ ที่ วัด Hare Krishna (กฤษณะ) .. ผมชอบมาก ๆ ..

ผมพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้ลองผิดลองถูกทำไปในตอนนั้น กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ในภายหลัง...

ให้ผมยกตัวอย่างสักตัวอย่างนึงนะ... มหาวิทยาลัย Reed เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในด้าน การออกแบบตัวอักษร (มั้งนะ..ตามที่เราเข้าใจ) ทั้งมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วย Poster ซึ่งมีการออกแบบตัวอักษรที่สวยมาก .. ผมจึงตัดสินใจที่จะลงเรียนวิชาที่ว่านี้ ..ผมเรียนเกี่ยวกับ Serif กับ Sans-serif (เป็น Font ชนิดหนึ่ง ลองเปิดดูใน Microsoft word ดูได้ครับ) ..ซึ่งผมต้องเรียนเกี่ยวกับการเว้นที่ว่างอย่างไรเมื่อตัวอักษรแบบต่าง ๆ ถูกเขียนให้ติดกัน ..เพื่อที่จะทำให้ตัวอักษรที่พิมพ์ออกมาดูสวย .. มันช่างเป็น ศิลปะ ..เป็นความสวยงาม .. ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่มีทางทำได้เลย...ผมว่ามันน่าประทับใจมาก...

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่น่าที่จะมีประโยชน์อะไรกับชีวิตของผมเลย.. แต่สิบปีต่อมา ..ผมกลับพบว่า เมื่อเราต้องออกแบบ เครื่องคอม Macintosh เครื่องแรก ..มันกลับมีประโยชน์ขึ้นมา..เพราะเราใช้สิ่งเหล่านั้นในการออกแบบ Macintosh (Note ว่า Macintosh มีข้อเด่นกว่า PC ที่เราให้อยู่ตรงที่ Design ของ Macintosh ดีกว่ามากๆ ..จึงถูกใช้ในการ Design มากกว่า PC ที่เราใช้กันอยู่นี้) .. มันกลายเป็นเครื่อง computer เครื่องแรกที่มีตัวอักษรที่ดูดี ..

ซึ่งถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชานั้นล่ะก็ ป่านนี้ Macintosh ก็คงไม่ได้มี Fonts แบบต่างๆ ซึ่งมีการเว้นระยะที่เหมาะสม ทำให้ดูสวยงาม ไปแล้ว... และเนื่องจาก Windows ลอกเอาสิ่งเหล่านี้ไปใช้... มันก็เป็นไปได้ว่า ..ถ้าผมไม่ได้ลาออก .. ทำให้ไม่ได้ไปลงเรียนขึ้นมา..ป่านนี้คอมทุกเครื่องก็คงจะไม่มีแบบอักษร สักเครื่องเดียว

แน่นอนว่าเราคงจะไม่สามารถลากเส้นเชื่อมต่อจุดได้ด้วยการมองไปข้างหน้า ..แต่มันกลับชัดเจนมากเมื่อมองย้อนกลับไป.. คือเราไม่สามารถทราบได้หรอกว่า จุดเล็กจุดน้อยแต่ละจุดมันจะเชื่อมโยงกันออกมาอย่างไร .. เราจะรู้ก็ต่อเมื่อมันได้เชื่อมกันเป็นรูปร่างแล้ว..ดังนั้น ..เราจะต้องเชื่อมั่นว่า สักวัน จุดเล็กๆ น้อย ๆ ในชีวิตของเราคงจะไปเชื่อมต่อกันด้วยทางใดทางหนึ่งในอนาคต ..

เราต้องมีศรัทธาในอะไรบางอย่าง ..ไม่ว่าจะเป็น กึ๋นของคุณเอง ..โชคชะตา .. ชีวิต .. กรรม .. อะไรก็แล้วแต่..เพราะถ้าเราเชื่อมั่นว่าจุดเล็ก ๆ นี้จะนำเราไปสู่ หนทางในอนาคต จะทำให้เรามีความเชื่อมั่นในการจะทำอย่างที่ใจเราต้องการ แม้ว่าจะดูออกนอกลู่นอกทาง .. แต่มันก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

เรื่องที่สองที่ผมจะเล่าเกี่ยวกับ ความรักและการสูญเสีย ..

ผมโชคดีนะ..ที่ผมรู้ว่าผมชอบอะไรตั้งแต่แรกๆ .. Woz กับผม เรื่องก่อตั้ง Apple กันในโรงรถของพ่อผม .. ตอนผมอายุ 20 .. ผมทำงานอย่างหนักจนสิบปีต่อมา .. Apple ได้เติบโตจากโรงรถไปเป็นบริษัท มูลค่า สองพันล้านเหรียญ ที่มีลูกจ้างกว่า สี่พันคน...ในปีใกล้ ๆ กันนั้นเอง...เราก็ได้ผลิต Macintosh ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ชิ้นเลิศของพวกเรา...

ตอนนั้นผมอายุได้สัก 30 ..แล้วผมก็ถูกไล่ออก !! ..

มันจะเป็นไปได้ไงที่คุณจะถูกไล่ออกจากบริษัทที่คุณก่อตั้งขึ้นมาเอง... เรื่องมันมีอยู่ว่า..ตอนที่ apple เติบโตอยู่..เราได้จ้างใครสักคนขึ้นมาซึ่งผมคิดว่ามีพรสรรค์ในการที่จะบริหารบริษัทร่วมกับผม .. ปีแรก ๆ ก็เหมือนจะดูดี..แต่จากนั้น..วิสัยทัศน์ ของเราก็เริ่มต่างกัน.. พอเข้าประชุม.. ที่ประชุมกลับเห็นด้วยกับเขา..

ดังนั้นเมื่ออายุย่างเข้า 30 นั้นเอง..ผมก็ถูกไล่ออกจากงาน... โดยเอกฉันท์ด้วย..มันช่างเฮงซวยอะไรอย่างนั้น..เหมือนกับเป้าหมายในชีวิตของผมมันหายไป ...

ผมไม่รู้จะทำอะไรไปเป็นเดือน .. รู้สึกเหมือนกับว่าผมทำให้ผู้ก่อตั้งรุนก่อนๆ ผิดหวัง .. เหมือนผมกำลังแข่งวิ่งผลัดแต่กลับทำไม้หลุดมือ...ผมได้เข้าพบกับ David Packard กับ Bob Noyce เพื่อไปขอโทษที่พูดจารุนแรงมากไป .. แต่ก็ล้มเหลว..แทบแทรกแผ่นดินหนี..

ถึงอย่างนั้นบางอย่างในตัวผม ทำให้ผมรู้สึกว่า ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำนะ..และเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นที่บริษัท Apple ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกผมเลยแม้แต่น้อย..ถึงผมถูกปฏิเสธ แต่ ผมก็ยังตกหลุมรักอยู่ดี ..ผมจึงตัดสินใจที่จะเริ่มใหม่..

ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก...แต่ต่อมาผมถึงได้รู้ว่าการที่ผมถูกไล่ออกมานั้นกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย..

ความรู้สึกหนักอึ้งเมื่อครั้งแบกภาระตอนที่ประสพความสำเร็จ กลับกลายเป็น ความรู้สึกปลอดโปร่งของผู้บุกเบิก อีกครั้ง..

มันเป็นช่วงที่สร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตผมเลย..ห้าปีต่อมาผมก่อตั้งบริษัท ชื่อ NeXT ..และ PiXar ..และก็ตกหลุมรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาของผม Pixar ได้ผลิต หนังภาพยนตร์การ์ตูนจากcomputer เรื่องแรกของโลกที่ชื่อ Toy-story ..และขณะนี้นับได้ว่าเป็นบริษัทสร้างหนัง Animation ที่ประสพความสำเร็จที่สุดแห่งหนึ่ง...

จุดหักเหที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ ..Apple ซื้อบริษัท NeXT ..และผมจึงได้กลับเข้าสู่ Apple อีกครั้ง...และ technology ของ NeXT ในขณะนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของบริษัท Apple ในยุคนี้..และผมกับ Lorene ก็เป็นครอบครัวที่มีความสุข

ผมค่อนข้างมั่นใจว่า สิ่งเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าผมไม่ได้ถูกไล่ออกจาก Apple ..มันเหมือนกับยาขม..แต่เชื่อเถอะว่า ยังยาก็ยังมีประโยชน์... บางครั้งก็เหมือนกับว่าชีวิตเล่นตลก เหมือนเอาอิฐมาฟาดหัวคุณ .. แต่อย่าเสื่อมศรัทธาเลย..

ผมกำลังจะบอกว่า สิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินหน้าต่อก็คือ ความรักในงานที่ทำ ..

คุณต้องหาให้เจอว่าคุณชอบอะไร..เหมือน ๆ กับหาแฟนนั่นแหละ ..ชีวิตของเราส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงาน ..และถ้าจะให้ดีก็คือก็คือคุณต้องทำสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็นงานที่ยิ่งใหญ่จริงๆ .. และหนทางที่จะทำงานให้ยิ่งใหญ่ก็คือ รักในงานที่ทำ... ถ้าคุณยังหาไม่เจอ.. มองหากันต่อไป...

และก็ห้ามหยุดนะ..และด้วยความจริงในใจของคุณเอง คุณจะรู้เอง ว่าคุณเจอมันแล้วหรือยัง...และก็เหมือนกับความสัมพันธ์ทั่วๆ ไป ..มันมักจะดีขึ้นเรื่อยๆ ..เมื่อเวลาผ่านไป เพราะฉะนั้น..มองหากันต่อไป..อย่าหยุดฝัน...

เรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับความตาย...ตอนผมอายุ 17 ผมอ่านเจอ ข้อความนี้ .. “ ถ้าคุณใช้ชีวิตทุกวันของคุณเหมือนกับเป็นวันสุดท้ายของชีวิต...มันคงจะถูกเข้าสักวัน” .. มันประทับใจของผม .. นับจากนั้นก็ สามสิบสามปีแล้ว... ที่ผมจะส่องกระจกแล้วบอกกับตัวเองว่า

ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต เรายังอยากจะทำสิ่งที่เราจะทำในวันนี้มั้ย? ...และเมื่อไรก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่! ติดๆ กันหลายวันแล้วล่ะก็...แปลว่าต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างแล้วล่ะ...

การที่มี มรณานุสติ นี้เอง ช่วยทำให้ผมตัดสินใจหลายต่อหลายอย่างที่สำคัญๆ มาแล้ว... เป็นเพราะว่าเกือบจะทุกอย่าง..ทั้ง ความคาดหวังจากภายนอกก็ดี ..ศักดิ์ศรีก็ดี... กลัวขายหน้าก็ดี.. กลัวล้มเหลวก็ดี.. มันกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋ว เมื่ออยู่เบื้องหน้าความตาย เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น...

การระลึกไว้ว่าเราอาจจะกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะหลุดพ้นจากกับดัก ที่จะทำให้เราคิดว่าเรากำลังจะเสียอะไรไป..ตัวเราจะเปลือยเปล่า.. มันแทบจะไม่มีเหตุผลเลยที่เราจะไม่ปล่อยไปตามหัวใจ ..ให้มันตัดสินใจ

เมื่อประมาณหนึ่งปีมาแล้ว.. ผมถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง..ผมได้เข้า scan ตอน 7:30 ..ตอนเช้า แล้วก็เห็นชัดเจนว่าตับอ่อนผมมีก้อนเนื้อ..

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนเป็นยังไง..หมอบอกว่ามันแทบจะไม่มีทางรักษาแน่นอน .. และก็คงอยู่อีกไม่เกิน 3 – 6 เดือน .. หมอของผมบอกว่าให้กลับบ้านแล้วก็ไปจัดเตรียมเรื่องต่าง ๆ และจองวัดไว้เลย.. ซึ่งแปลว่า..เตรียมตัวตายซะเถอะ..

มันช่างโหดร้ายที่จะบอกลูก ๆ ของคุณหมดทุก ๆ อย่าง..ซึ่งคุณคิดไว้ว่าอาจจะมีเวลาอีกสัก 10 ปีเอาไว้บอกลูกๆ ..ในกลับเหลือเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน .. มันช่างโหดร้ายที่จะทำให้อะไรๆ มันราบรื่นที่สุดสำหรับครอบครัว...และก็ช่างโหดร้ายเหลือเกินสำหรับ การบอกลา...

ผมจมอยู่กับคำวินิจฉัยทั้งวัน...เย็นวันนั้นผมก็ได้ไปทำการส่องกล้อง และ ตัดชื้นเนื้อมาตรวจ... ผมไม่รู้สึกตัวเพราะฤทธื์ยา..แต่ภรรยาของผมบอกว่า..หมอตื่นเต้นกันใหญ่หลังจากส่องตรวจ cell แล้วพบว่าเป็น มะเร็งตับอ่อนชนิดที่ไม่ค่อยพบ ซึ่งสามารถผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้..

ผมได้ผ่าตัดแล้ว...และโชดดีที่ตอนนี้ผมสบายดีแล้ว...

เรื่องนี้อาจจะเป็นการเฉียดเข้าใกล้ความตายมากที่สุด และผมหวังว่าจะเป็นการเฉียดมากที่สุดในรอบอีกหลายสิบปีจากนี้

..เมื่อได้ผ่านช่วงนั้นมาแล้ว...ผมบอกพวกคุณได้ด้วยความมั่นใจมากขึ้นอีกนิดว่าความตายนี้มีประโยชน์ เทียบกับก่อนหน้านี้..ที่รู้แค่ทางทฤษฎี

ไม่มีใครอยากจะตาย..แม้แต่คนที่อยากจะไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากที่จะต้องตายก่อน ถึงจะไปสวรรค์ได้.. แต่ความตายก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้... และมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น..เพราะความตายนี้..อาจจะเรียกได้ว่าเป็น สิ่งประดิษฐ์สำคัญอันเดียวของชีวิต..เป็นสิ่งเปลี่ยนแปลงชีวิต ...ลบของเก่าออก เพื่อที่เปิดทางสำหรับของใหม่...

ตอนนี้..พวกคุณยังเป็นของใหม่..แต่ต่อไป..ไม่นานจากนี้..พวกคุณจะค่อยๆ เก่าขึ้นๆ ... และถูกลบออกในที่สุด... อาจจะดูเกินไป..แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ..

เวลาเป็นสิ่งมีค่า...อย่ามัวเสียเวลา ใช้ชีวิตในแบบของใคร...อย่าปล่อยให้ความเชื่อเก่า ๆ มาปิดกั้นเราไว้...ซึ่งทำให้เราใช้ชีวิตแบบที่ใคร คนอื่นๆ คิดเอาว่าควร...

อย่าปล่อยให้ความคิดเห็นของคนอื่นๆ มากลบ เสียงข้างในจิตใจ ของเรา

ตอนผมเด็กๆ ..มันมีนิตยสาร ชื่อ แคตตาล็อกของโลก ซึ่งถือเป็นคัมภีร์ของรุ่นผมเลยก็ว่าได้ .. เป็นนิตยสารของ นาย Stuart Brand ซึ่งใช้ชีวิตได้สุนทรีตามแบบของเขา .. ซักช่วงตอนปลายปี 60 ก่อนที่จะมี คอมพิวเตอร์ ด้วยซ้ำ..ตอนนั้นก็เลยเป็นนิตยสารที่ทำโดย เครื่องพิมพ์ดีด .. กรรไกร .. กล้อง Polaroid .. พวกนั้น... มันเหมือนกับ Google ของสมัยนั้น... เป็นชนิดลงกระดาษ ..เป็นเวลา 35 ปี ก่อนที่ google จริงๆ จะมา ..

นิตยสารที่ว่านี้มีหลายเล่มมาก ..จวบจนมาถึงเวลาของมัน...เล่มสุดท้าย... ตอนช่วงกลางปี 70s .. ตอนผมอายุเท่าๆ กับพวกคุณ .. ปกหลังของหนังสือ เป็นรูปของแดดยามเช้า บนถนนในชนบทแห่งหนึ่ง... ที่ซึ่งถ้าคุณเป็นนักผจญภัย คงนึกเห็นภาพตัวเองกำลังโบกรถอยู่...

ใต้ภาพมีข้อความ “Stay Hungry , Stay foolish” ..เป็นเหมือนคำสั่งลา

และผมก็หวังให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ .. บัดนี้ .. พวกคุณทั้งหลายกำลังจะจบออกเป็นบัณฑิตใหม่ ... ผมขออวยพรให้คุณทุกคน Stay Hungry , Stay Foolish

ขอบคุณ

หมายเหตุจากผู้แปล

แปลว่า .. อย่าใช้ชีวิตแบบอยู่ไปเรื่อยๆ ... รู้สึกว่า โง่ จะได้ขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ ... คล้าย ๆ กับเรื่อง ชาล้นถ้วย ของ นิทานเซ็น ครับ...

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 13933เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2006 00:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 09:28 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท