ตอนนี้ไม่ว่าจะไปทางไหน ไม่ว่าจะเป็นตามอาคารสำนักงาน หมู่บ้านจัดสรร หรือ ชุมชนต่างๆ เราจะเห็นว่ามีการเปิดตลาด ที่เราเรียกกันว่า ‘ตลาดนัด’ กันโดยทั่วไป ทำให้นึกถึงเมื่อครั้งที่เพื่อนชาวสิงคโปร์บอกว่า นี่ไงเป็นย่าน flee market หะแรกที่ได้ยิน นึกว่า เป็น free market อะไรกันนี่ เป็นตลาดแจกฟรี หรือ คนขายของที่ต้องเสียค่าแผง จึงต้องเริ่มปฏิบัติการค้นหาว่า นั้นคืออะไรกันแน่
ลักษณะของ ‘ตลาดนัด’
ก็คือตลาดที่ขายของที่มีความหลากหลาย ทั้งชนิดและคุณภาพ
ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เรื่อยไปจนถึงเครื่องสำอางประทินความงาม
เสื้อผ้าอาภรณ์ ของใช้ต่าง ๆ
ทั้งที่เป็นของใหม่และที่เป็นของที่ใช้แล้ว (ที่เราเรียกว่า
‘ของมือสอง’) ของก๊อปยี่ห้อดัง ๆ
ที่สำคัญราคาของสิ่งของที่ขายกันในตลาดนี้ ก็มักจะถูกกว่าไปซื้อตาม
ร้าน ห้างสรรพสินค้า หรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั่วๆ ไป
ในภาษาอังกฤษ ตลาดแบบนี้ จะเรียกว่า flee market หรือ flea market
‘flee’ เป็นคำกริยามีความหมายว่า ‘หนี (หายไป)’
‘flea’ เป็นคำนาม หมายถึง แมลงตัวเล็ก ๆ ที่กัดกินเลือดของสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร หรือตัวหมัดนั่นเอง
ก็คงจะมีคนสงสัยว่า ทำไมจึงเรียกกันเช่นนี้ ซึ่งความเป็นมาของชื่อที่เรียกนี้ก็ไม่ได้ชัดเจนนัก มีคนพยายามจะหาที่มาของมัน พอจะสรุปเป็นสมมติฐานได้ว่า
อาจจะมาจากการที่มีการไล่ที่ชุมชนยากจน หรือเสื่อมโทรม ที่เรียกว่า ‘สลัม (slums)’ ในกรุงปารีส เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่ขึ้นมาแทนที่ ชาวบ้านในชุมชนนั้นที่มีอาชีพในการขายของเก่า ของมือสองก็เลยถูกบีบให้ออกจากพื้นที่ คือถูกบีบ ให้ ‘flee’ จากพื้นที่ ก็เลยไปรวมตัวกันในที่ใหม่ เพื่อเปิดขายของตามอาชีพเดิมของตน จึงเป็นที่มาของชื่อที่ใช้เรียกตลาดประเภทนี้ ว่า ‘flee market’
ส่วนคำว่า ‘flea market’ นั้น คำว่า ‘flea’ ไปเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘vlie’ ซึ่งเป็นคำเรียกสำหรับคำว่า ‘ตลาด’ ในภาษาดัตช์ คำๆ นี้ออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘flea’ (อ่านว่า ฟลี) ในภาษาอังกฤษ ก็เลยเป็นที่มาของคำที่ใช้เรียกตลาดในลักษณะนี้ว่า ‘flea market’
ลักษณะของตลาดอีกอันหนึ่งที่เป็นที่ฮือฮากันในยุคฟองสบู่แตก ก็คือ ตลาดเปิดท้าย (รถยนต์) ขายของ อันนี้มีที่มาจากประเทศอังกฤษซึ่งเรียกว่า ‘car boot sale’ คำว่า boot เป็นภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ หมายถึง กระโปรงท้ายรถ ซึ่งก็เป็นลักษณะตลาดนัดอีกแบบหนึ่งนั่นเอง