สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกรรมสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อสร้างเป็นศูนย์อนุรักษ์เต่าทะเล และได้พระราชทานชื่อว่า "โครงการสมเด็จฯ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล" อยู่ในความดูแลของกรมประมง
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2537)
ออกตามความในพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 และมาตรา 6
แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ
ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2537
กำหนดให้เต่าทะเลตามบัญชีแนบท้ายตามกฎกระทรวงนี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองได้แก่
ลำดับที่ 39 กระ (Erethmochelys imbricata)
ลำดับที่ 46 เต่าตนุ (Chelonia mydas)
ลำดับที่ 47 เต่าหัวฆ้อน (Carette carette)
ลำดับที่ 54 เต่ามะเฟือง (Dermochelys coreacea)
ลำดับที่ 57 เต่าหญ้า หรือเต่าสังกะสี (Lepidochelys olivacea)
มาตรา 16
ห้ามมิให้ผู้ใดล่าหรือพยายามล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง
(เต่าทะเล) เว้นแต่เป็นการกระทำโดยทางราชการที่ได้รับยกเว้นตามมาตรา
26
ในเรื่องของการอนุรักษ์เต่าทะเล
ปัจจุบันทางราชการให้ความสำคัญเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นกรมประมง
กรมป่าไม้ และกองทัพเรือ โดยเฉพาะเกาะมันใน จังหวัดระยอง
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานกรรมสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อสร้างเป็นศูนย์อนุรักษ์เต่าทะเล
และได้พระราชทานชื่อว่า "โครงการสมเด็จฯ
อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล" อยู่ในความดูแลของกรมประมง
ซึ่งได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2522
เป็นต้นมา
สถาบันวิจัยชีววิทยาและประมงทะเล แหลมพันวา
ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
ได้มีการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ไข่เต่าทะเลขึ้นดำเนินการศึกษาชีววิทยาและติดตามดูการดำรงชีวิตและพฤติกรรมของเต่าทะเล
ตลอดจนดำเนินการปล่อยเต่าทะเลลงสู่ทะเล การรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ
ในอันที่จะรักษาพันธุ์เต่าทะเลเอาไว้ตลอดไป
ตลอดจนทำการเพาะพันธุ์เต่าทะเลในบ่อเพาะพันธุ์
โดยการเลี้ยงเต่าทะเลจนเจริญเติบโต
เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์และทำการเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์เต่าทะเลในบ่อเพาะพันธุ์
ในการดำเนินการอนุรักษ์เต่าทะเล
ควรคำนึงถึงธรรมชาติและชีววิทยาของเต่าทะเลด้วย
โดยเฉพาะในการนำไข่เต่ามาทำการเพาะฟัก
และการปล่อยลูกเต่าในเทศกาลและสถานที่ต่าง ๆ
แต่ในทางตรงข้ามในการดำเนินการลักษณ์นี้
ถ้าไข่เต่าทะเลส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในกิจกรรมเหล่านี้ เช่น
การนำลูกเต่าทะเลไปปล่อยในแหล่งต่าง ๆ
ก็จะมีโอกาสสูงจะเกิดการกระทบกระเทือนต่อประชากรเต่าทะเลในธรรมชาติ
โดยหลักการแล้วควรให้ไข่เต่าทะเลประมาณ 50-70%
ได้มีการฟักตัวเกิดและกลับสู่ทะเลตามธรรมชาติ
แต่มีหลายแห่งชาวบ้านหรือชาวประมงท้องถิ่น ขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์
จึงไม่สามารถปล่อยให้เต่าทะเลเพาะฟักในธรรมชาติได้
จำเป็นต้องเก็บไข่เต่ามาฟัก
การอนุรักษ์เต่าทะเล
จะกระทำประเทศใดประเทศหนึ่งจะได้ผลเต็มที่
จะต้องมีการร่วมมือกันในระหว่างประเทศหรืออย่างน้อยต้องมีการประสานงานกันในระดับภูมิภาค
เพราะเต่าทะเลเป็นสัตว์ที่มีการโยกย้ายถิ่น แหล่งอาหาร
แหล่งอาศัยที่กว้างไกล
มาตรการการอนุรักษ์เต่าทะเล
บทบาทด้านการอนุรักษ์เต่าทะเลส่วนใหญ่จะอยู่กับทางราชการ
โดยเฉพาะแต่เมื่อมีกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมขยายตัวไปกว้างขวาง
ชุมชน องค์การพัฒนาเอกชนก็เริ่มเข้ามามีบทบาททางด้านนี้มากขึ้นเรื่อย
ๆ ดังนั้น การดำเนินงานการอนุรักษ์เต่าทะเลไทย
จำเป็นต้องมีการควบคุมและจัดการประชากรเต่าทะเลในธรรมชาติ
ควบคู่กันกับการด้านกฎหมายและประชาสัมพันธ์
ที่มา
http://www.nicaonline.com/articles9/site/view_article.asp?idarticle=163