เศรษฐศาสตร์และการเงินข้างเสา – ตอนที่ 9 ผู้ถือหุ้นของชีวิต


ในตอนที่ 7 เรื่องงบดุลนั้นสำคัญไฉน ผมได้พูดถึงส่วนของผู้ถือหุ้นไว้เล็กน้อย   และในตอนที่ 4 เรื่องกระแสเงินสดสำคัญกับตัวคุณอย่างไร กู้หนี้ยืมสิน ผมก็ได้เล่าเรื่องการจัดหาเงินของบริษัท และได้เล่าถึงการจัดหาเงินในรูปของ ทุน จากผู้ถือหุ้น   ซึ่ง ทุน หรือส่วนของผู้ถือหุ้นนี้ จะต้องได้รับการจ่ายเงินปันผลเป็นผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น   นั่นคือในกรณีของบริษัท แต่ผมได้เปรียบเทียบให้เห็นว่า คนเราต่างจากบริษัท เพราะเราไม่มีผู้ถือหุ้น จึงไม่ต้องจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น 

(หมายเหตุ ดูความตอนที่ 4 และ 7 ได้ที่นี่ http://gotoknow.org/blog/wachirachai/121655 และ http://gotoknow.org/blog/wachirachai/127282)

ในตอนนี้ ผมอยากจะมาลองชวนคิดว่า จริงๆ แล้ว เราอาจจะมีผู้ถือหุ้นของชีวิตเราก็ได้

จริงอยู่ที่คนทุกคนมีทุนติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก็คือร่างกายจิตใจของเราเองที่จะทำงานอะไร  แต่ลองคิดดูสิครับว่า กว่าที่เราจะอยู่รอดจนโตขึ้นมาได้ เรามีคนหลายคนทีเดียวที่ทุ่มเทให้เรา ฟูมฟักเราจนเติบโตขึ้นมาได้ ยินดีกับความสำเร็จของเรา เสียใจเวลาที่เราล้มเหลว เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นผู้ถือหุ้นของเรา

พ่อแม่เรายังไงล่ะครับ

ที่ต่างจากผู้ถือหุ้นทั่วไป ก็เพราะผู้ถือหุ้นของชีวิตเรานี้ไม่หวังผลตอบแทนครับ แล้วก็ไม่ยอมลดทุนหรือถอนทุนเสียด้วย  แต่เราก็ควรจะจ่ายเงินปันผลบ้าง ตอบแทนท่านบ้าง เงินปันผลอาจจะเป็นเงิน คือ (เป็นแบบ In Cash) หรือเป็นอย่างอื่น (เป็นแบบ In Kind) คือ ช่วยเหลือการงานท่าน ดูแลท่าน

ผมอยากจะเชิญชวนท่าน Blogger มาแสดงความเห็นหน่อยครับว่า ผู้ถือหุ้นของชีวิต ยังมีใครอีกบ้าง

 
หมายเลขบันทึก: 131029เขียนเมื่อ 23 กันยายน 2007 22:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน 2012 15:11 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

นอกจากพ่อแม่ ก็คงเป็นพี่น้อง ญาติ  และถ้าหากใครมีครอบครัวแล้ว (หมายถึงแต่งงานแล้ว) ก็คงต้องรวมถึงคู่ชีวิต และลูกๆ ด้วยล่ะค่ะ  ซึ่งแสดงว่าเรามีผู้ถือหุ้นชีวิตหลายคนเหมือนกัน แต่ว่าแต่ละคนอาจมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ไม่เท่ากันก็ได้ค่ะ  แล้วไงต่อคะ อยากรู้ตอนต่อไปแล้วค่ะ

  • คิดว่านอกจากพ่อแม่  พี่น้อง  ญาติแล้ว  คงเป็นครูอาจารย์ของเราค่ะ( ต้องเป็นครูด้วยจิตใจนะคะ)  ท่านเหล่านั้นจะมีแต่หวังดีกับเรา
  • ท่านเหล่านี้จะอยู่เคียงคู่ เป็นหุ้นชีวิตที่เฝ้าดูความสำเร็จของเรา   คอยให้คำแนะนำ  ช่วยเหลือในยามที่เราลำบาก  โดยไม่หวังผลตอบแทนเลย....
  • สำหรับหว้าแล้ว...มีเท่านี้แหล่ะค่ะหุ้นชีวิต
ขอบคุณครับ คุณ Kik และ อ.ลูกหว้า ที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ หุ้นชีวิต

ผมกลับมาอ่าน Post ของ อ.ลูกหว้าอีกครั้ง แล้วเกิดสะดุดคำว่า "หุ้นชีวิต" ครับ เพราะไม่คุ้นหูเลย (ถึงผมจะเป็นคนตั้งหัวข้อเองว่า ผู้ถือหุ้นของชีวิต)

แต่เรากลับเคยได้ยินคำว่า "ทุนชีวิต" มากกว่า

ทั้งที่ในทางการเงิน ทุน ก็คือส่วนที่ผู้ถือหุ้นลงทุนมา มันก็น่าจะเหมือนกัน

หรือเป็นเพราะว่า เราไม่เคยคิดว่าจะแบ่งสัดส่วนว่าทุนชีวิตของเรามาจากไหนเท่าไหร่ หรือว่ามันแบ่งไม่ได้อย่างนั้นจริงๆ (อย่างที่คุณ Kik พูดถึงสัดส่วนการถือหุ้นของชีวิต)

น่าคิดนะครับ คิดว่าอย่างไรบ้างครับ ผมก็จะลองคิดดูแล้วมาแลกเปลี่ยนกัน

ก็อย่างที่คุณวชิระชัยบอกไว้ไงคะว่า ผู้ถือหุ้นชีวิตที่เป็นพ่อแม่จะไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ยอมลดหุ้น ถอนหุ้น คอยเป็นกำลังใจให้เราอย่างเต็มที่  แต่สำหรับมุมมองของกิ๊กเอง ผู้ถือหุ้นชีวิตรายอื่นๆ ก็อาจมีสัดส่วนการลงทุนในชีวิตเราแตกต่างกัน  เช่น เพื่อน ก็อาจมีเพื่อนแท้ที่คอยเป็นกำลังใจร่วมทุกข์ ร่วมสุข ไม่หวังผลตอบแทน และไม่มีวันถอนทุนเช่นกัน อันนี้ก็ถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นชีวิตเกรด A  แต่ถ้าเพื่อนบางคนก็เป็นคนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ เฮฮาสนุกสนานได้  แต่อาจร่วมเฉพาะสุข ไม่ได้ร่วมทุกข์กับเรา และอาจถอนทุนออกไปได้ทุกเมื่อ หากเค้าไม่ได้รับผลตอบแทนที่เค้าพึงพอใจ  อย่างนี้ก็อาจถือว่าเป็นผู้ถือหุ้นชีวิตเกรด C หรือ D เป็นต้น 

จำนวนผู้ถือหุ้นชีวิตของเราในแต่ละเกรดอาจมากบ้างน้อยบ้างไปตามแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม จำนวนของผู้ถือหุ้นชีวิตไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  แต่ความสำคัญอยู่ที่สัดส่วนหรือ commitment ของการถือหุ้นมากกว่าค่ะ  ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีผู้ถือหุ้นเกรดเอเพียงคนเดียว แต่มีสัดส่วนการถือหุ้น 70-80%  บริษัทชีวิตของเราก็ไม่น่าจะมีวันล้มละลายนะคะ เพราะผู้ถือหุ้นรายนี้จะอยู่กับเราตลอดไปโดยไม่มีวันถอนทุน  ในทางตรงข้าม เรามีคนถือหุ้นเกรด C และ D มากมาย  ถือหุ้นรวมกัน 70-80% วันหนึ่งหากเราไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้เค้าได้ในระดับที่เค้าพอใจ พวกเค้าก็จะถอนทุนออกไปหมด บริษัทชีวิตของเราก็อาจซวนเซได้ค่ะ อาจไม่ถึงกับล้ม (ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งภายในของเราเอง)

ดังนั้นกิ๊กเลยคิดว่าในชีวิตของเรา ถ้ามีคนที่รักและหวังดีกับเราด้วยความจริงใจ  จงดูแลและรักษาเค้าไว้ให้อยู่กับเรานานที่สุด  แค่นี้ก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่ดีต่อชีวิตของเราแล้วล่ะค่ะ มีเพื่อนแท้เพียง 1 คน ย่อมมีค่ามากกว่ามีเพื่อนกินหลายๆ คน จริงไม๊คะ

ขอชมเชยคุณกิ๊กมากเลย  แสดงความเห็นได้ดีเยี่ยม และพอนึกภาพออกได้  ช่างสรรหาคำมาเปรียบเปรยได้สะใจดี  และมีควมคิดเดียวกับดิฉัน  เพราะถ้าดิฉันแสดงความคิดเห็นก็จะแสดงอย่างนี้แหละคะ  หุ้นส่วนชีวิต ก็คือคนหลายคนที่มาดูแลเรา มีทั้งหวังผลตอบแทน และไม่หวังผล คือพ่อแม่ของเรา  มีโอกาสต้องคืนทุนให้ทันบ้างคือเลี้ยงดูแลท่านยามแก่ชรา  อย่าทิ้งท่าน  และถ้าหากคิดได้ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป เพราะท่านแก่แล้ว ยังมีเวลาไม่มากที่จะคืนทุนให้ท่านบ้าง  ให้ท่านได้อยู่อย่างสะดวกสะบายในตอนนี้ เพราะอึกไม่นานท่านก็จะไปแล้ว  มันจะมีประโยชน์อะไร ที่จะนำอาหารที่อร่อยไปวางไว้บนหลุมศพ เพราะท่านไปแล้วกินไม่ได้แล้ว ต้องให้อะไรก็ให้เสียตั้งแต่ตอนนี้  นี้คือการคืนทุนให้ท่าน

สำหรับทุนชีวิตนั้น  สำหรับดิฉันเข้าใจว่า หมายถึงความสามารถ หรือศักยาพของตนที่มีอยู่เป็นทุน ใครมีความสามารถเอาตัวรอดได้ ก็เพราะใช้และมีทุนชีวิตที่พ่อแม่ให้มาจนเอาตัวรอดได้  พ่อแม่เป็นผู้ให้ทุนชีวิตโดยไม่หวังกำไร  เอาดอกเบี้ยชีวิตไปคืนท่านบ้าง

ดิฉันเข้าใจถูกหรือเปล่าหนอ  สวัสดีคะ

ผมไม่ได้ตอบ Blog นี้เสียนาน เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานอยู่น่ะครับ
ประเด็นที่ผมยกค้างไว้เรื่อง “ทุนชีวิต” แบ่งเป็นหุ้นได้หรือไม่   ผมมีเรื่องเล่าจากชีวิตจริง 2 เรื่องมาเล่าให้ฟังครับ

เรื่องแรกเป็นเรื่องของน้องชายผมเองครับ   ตอนเด็กๆ น้องชายของผมซนและแสบมากๆ   แม่ผมเล่าให้ฟังว่า ตอนน้องชายผมยังเล็กอยู่มาก อาจจะสัก 2-3 ขวบเท่านั้น วันหนึ่งก็ได้เล่นซนอยู่บนชั้นสองของบ้าน ปรากฏว่าน้องชายผมเล่นซนอย่างไรไม่ทราบ ตกลงมาจากชั้นสองลงมาที่ลานพื้นซีเมนต์ซักล้างที่อยู่ชั้นล่าง   เดชะบุญที่พี่เลี้ยงกำลังซักผ้าอยู่ตรงนั้นพอดี   ได้ยินเสียงเหมือนอะไรตกลงมาจากชั้นบน ก็ยื่นมือออกไปรับตามสัญชาติญาณ ก็เลยอุ้มน้องชายของผมที่ตกลงได้พอดี   ถ้าวันนั้น พี่เลี้ยงคนนั้นไม่ได้ซักผ้าอยู่ตรงนั้น หรือไม่ได้ยื่นมือออกมารับ น้องชายผมก็น่าจะตายหรือบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว

เรื่องที่สองก็เป็นเรื่องของน้องชายผมคนเดิมอีกนั่นล่ะครับ   เมื่อตอนสัก 3-4 ขวบ บ้านของเราไปเที่ยวที่ชายทะเลบางแสนกัน ผมเองก็พอจะจำคลับคล้ายคลับคลาได้บ้าง แต่ก็จำได้ไม่ชัดเจน   แม่ผมเล่าให้ฟังว่า น้องชายผมเดินเล่นอยู่ที่ชายหาด แล้วเกิดเดินผิดทาง พลัดหลงไปไกล   กว่าจะรู้ตัวว่าน้องชายของผมพลัดหายไป ครอบครัวผมก็ออกตามหากันจ้าละหวั่น แต่หาอยู่นานก็ไม่พบ   จนกระทั่งมีตำรวจออกโทรโข่งหาพ่อแม่ของเด็กชายที่พลัดหลง จึงได้ตามไปจนเจอ   ได้ความว่า น้องชายผมเดินผิดทางพลัดหลงจนไปเจอแม่ค้าริมหาดคนหนึ่ง   แม่ค้าเห็นเด็กเล็กมาเดินคนเดียวก็ถามว่าทำไมมาเดินคนเดียว พ่อแม่อยู่ไหนชื่ออะไร   น้องชายผมก็แสบ ตอบไปว่า “ไม่บอก” เพราะไม่ให้พูดกับคนแปลกหน้า   แม่ค้าคิดว่าน่าจะหลงทางแน่แล้ว เห็นเด็กแสบแบบนี้ แทนที่จะโกรธกลับให้การช่วยเหลือ ไปตามตำรวจมาเพื่อประกาศหาพ่อแม่เด็กหาย   นี่เป็นโชคดีที่น้องชายผมไปเจอแม่ค้าใจดีคนนี้   ถ้าน้องชายผมเกิดไปเจอกับผู้ประสงค์ร้าย ก็อาจจะถูกลักพาตัวไปไหนต่อไหนแล้วก็ได้

พี่เลี้ยงคนนั้น หลังจากนั้นก็ได้ลาออกจากบ้านไปนานแล้ว ถึงวันนี้ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบแล้ว   ส่วนแม่ค้าคนนั้น ก็ไม่ได้รู้จักอะไรกัน วันนี้เป็นอย่างไร ยิ่งไม่รู้จริงๆ

ชีวิตของเราที่อยู่ได้มาถึงทุกวันนี้ นอกจาก “ทุนชีวิต” ที่มาจากผู้ถือหุ้นชีวิตที่เรารู้จักรักใคร่แล้ว   เราก็ยังมี “ทุนชีวิต” ที่ได้มาจากใครอีกหลายคนที่เราไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ก็ลืมไปแล้ว   จะให้นับว่ามีใครบ้างได้ช่วยเหลือเรามาแล้วในชีวิตที่ผ่านมา ก็ยากที่จะนับได้หมด

แล้วเราจะตอบแทนผู้ที่ช่วยให้ทุนชีวิตกับเราได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราไม่รู้แล้วว่าเขาไปอยู่ที่ไหน

ผมคิดว่าเราตอบแทนสังคมครับ   ช่วยกันสร้างสังคมที่ดี สานต่อสร้างทุนชีวิตให้กับคนอื่นๆ อีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าเป็นความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลสำหรับหลายๆ คนครับ

คะ จริงด้วย เราตอบแทนสังคมก็ได้ ถ้าหากเราอยู่ดีกินดีแล้ว เราก็เผื่อแผ่คนที่เขาลำบากกว่าเรา แต่การช่วยเหลือเขานั้น เรากลับมาเป็นคนลำบากเอง ก็ไม่ใช่ จะช่วยใคร ก็ต้องดูตนเองเสียก่อน  ดิฉันชอบบทความของคุณมากเลย ตอนนี้ปิดเทอมคะ ไม่มีการบ้าน หรือทบทวนหนังสือ  เลยออกมาเยี่ยมคะ เข้าไปอ่านทุกเรื่องเลย  แต่ไม่รู้หมดแล้วยัง เพราะบางครั้งมันก็เหนื่อย นั่งเฝ้าโกโตโนทั้งวัน ทั้งคืนคะ เพื่อเยี่ยมคนนั้นคนนี้  สวัสดีคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท