หมอบ้านนอกไปนอก(13): คิดถึงพ่อ


การเรียนรู้จากครอบครัว เป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่ามาก แต่ก็ถูกละเลยลดน้อยลงไปมากในปัจจุบัน ที่เด็กเข้าโรงเรียนเร็วและเรียนหนังสือ มากกว่าเรียนรู้ประสบการณ์เพื่อการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชนของตนเอง

                   วันนี้ ไปเรียนเกือบไม่ทัน ออกจากบ้าน 8 โมงห้าสิบ เดินด้วยความเร็วสูงมาก แต่ก็ไปทันเรียน อาจารย์ฌอง ปิแอร์ อังเกอร์ สอนเรื่องนโยบายกับการเมือง สองชั่วโมง วันนี้รู้สึกฟังไม่ค่อยทันนัก แต่ก็พอจับใจความได้ พอดีมีชีทช่วยก็พออ่านไปได้ หลังจากนั้นเป็นการเริ่มหัวข้อใหญ่ใหม่ในเรื่องของสถานบริการด่านหน้าหรือ First line health service อาจารย์บาร์ท ครีเอล เป็นผู้บรรยายหลัก มีอาจารย์ร่วมสอนอีกสองท่านคืออาจารย์ทอม โฮรี่ และอาจารย์ฌอง ฟอน เดอ เวนเน็ต การสอนจะมีการพูดถึงโครงเรื่อง เนื้อหาหลัก  ข้อตกลงในการใช้มุมมองในการเรียน หลังการบรรยายมีการแบ่งกลุ่มเพื่อทำกลุ่ม โดยกลุ่มใหญ่สองกลุ่มจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยอีกกลุ่มละ 3 กลุ่มใหญ่ โดยคัดเลือกนักศึกษาที่มีข้อมูลรายงานสถานการณ์ของประเทศตนเองละเอียดและน่าสนใจมาเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีการพูดถึงแนวทางของเวชศาสตร์ครอบครัวและวิวัฒนาการในเบลเยียม

                   ตอนบ่ายเป็นการพูดคุยกับติวเตอร์ของหลักสูตรคืออาจารย์วาลลาเรีย ที่มาพูดคุยซักถามปัญหา ข้อขัดข้องต่างๆของนักศึกษาเพื่อหาทางช่วยเหลือ เช่นเรื่องภาษาอังกฤษ เรื่องคอมพิวเตอร์  หากใครมีปัญหาส่วนตัว เครียด คิดถึงบ้านก็มาขอพบพูดคุยกับอาจารย์ได้หรือโทรศัพท์ปรึกษาได้ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นเวลาว่างของนักศึกษาแต่ละคน ผมก็กลับบ้านพักและก็มาส่งรูปถ่ายไปให้แม่ ภรรยาและลูกๆดูและคุยกันทางสไกป์ผมมาเรียนช่วงนี้ ถือว่ามีการติดต่อกับทางบ้านที่สะดวกขึ้นมากแล้ว นึกไปถึงรุ่นก่อนๆที่พี่ๆเขามาเรียน อินเตอร์เน็ตก็ไม่สะดวก น่าจะเหงามากกว่าผมมาก โชคดีที่ผมนำคอมพิวเตอร์โน้ตบุคมาจากเมืองไทยด้วยและที่บ้านพักก็สามารถต่ออินเตอร์เน็ตได้ รวมทั้งการใช้โปรแกรมสไกป์ที่สามารถพูดคุยกันได้ง่ายเหมือนการโทรศัพท์แต่สามารถเห็นหน้าเห็นตา เห็นการเคลื่อนไหวต่างๆได้เกือบจะเรียลไทม์ ช่วยคลายเหงาและทุเลาความคิดถึงบ้านได้มาก

                    เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันครบรอบวันเสียชีวิตของพ่อผม(พ่อผมเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 44 ปี) แต่ผมไม่ได้ไปทำบุญเนื่องจากหาวัดที่แอนท์เวิปไม่เจอ วันนี้เกิดความรู้สึกคิดถึงพ่อมากๆ ก็เลยอยากจะเขียนความทรงจำที่มีกับพ่อ ท่านจากผมไปนานพอควร ตั้งแต่ปี 2534 ตอนที่ผมเรียนแพทย์ปี 4 ที่เชียงใหม่ ตอนนี้ก็ครบ 16 ปีแล้ว

                     ตอนนนั้น ผมจำได้ว่า ผมกำลังซ้อมว่ายน้ำอยู่ตอนเย็นที่สระรุจิรวงศ์ เพื่อนมาบอกว่าน้าชายโทรมาหาผม มีเรื่องด่วน ผมก็ขออนุญาตโคชแล้วก็รีบโทรกลับไปหาน้า น้าผมคนนี้คือหมอสำเริง สีแก้ว ตอนนี้เป็นอายุรแพทย์ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ น้าบอกว่า ทำใจดีๆไว้นะ น้าที่บ้านโทรมาบอกว่า พ่อเสียแล้วพบศพเมื่อคืน ผมรู้สึกว่าได้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าไม่ใช่ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ความจริงก็คือความจริง น้ำตาไหลเอ่อล้นทั้งสองตา ตอนแรกผมจะกลับหอพัก แต่ก็รู้สึกว่าทำใจไม่ได้ กลับไปที่หอก็คงนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว เพราะยังกลับบ้านไม่ได้ น้าสำเริงบอกว่าพรุ่งนี้ จะขับรถมารับกลับบ้านด้วยกัน ผมก็เลยตัดสินใจอยู่ซ้อมว่ายน้ำต่อ ผมว่ายไปเรื่อยๆ ไม่หยุด พอหยุดเราก็จะอยากร้องไห้ การว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ทำให้ใจเราสงบ ทำให้ลืมความสุญเสียนั้นไปได้ระยะหนึ่ง พอกลับถึงหอพักก็รู้สึกใจหาย เสียใจ นอนร้องไห้ แต่อาจด้วยความเพลียจากการว่ายน้ำอย่างหนักก็ทำให้หลับไปได้ง่ายขึ้น

                 กลับถึงบ้าน ได้สัมผัสกับตัวพ่อ มือพ่อ ใบหน้าพ่อ แต่เป็นเพียงร่างที่ไร้ชีวิตแล้ว น้ำตาไหล ร้องไห้ ผมกับพ่อสัญญากันไว้ว่า ถ้าผมเรียนจบแพทย์ พ่อจะเลิกดื่มเหล้า และผมก็จะดูแลพ่อ ไม่ให้พ่อต้องทำงานหนัก แต่พ่อก็บุญน้อย ไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของลูก ถ้าผมไม่เรียนหนังสือและทำไร่อยู่กับพ่อ อายุผมก็จะครบบวชและบวชให้พ่อแม่ไปแล้ว แต่พอมาเรียนก็เลยยังไม่ได้บวช พ่อจึงยังไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองจากลูก เรื่องนี้ถือเป็นความเชื่อและประเพณีที่สำคัญของชาวบ้านแถวบ้านผมเลย การบวชถือเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่ที่ยิ่งใหญ่ ผมมาบวชเมื่อตอนทำงานได้สองปี ที่วัดท่าเกย มีปู่ผมทำหน้าที่ถือบาตรแทนพ่อและแม่ก็ถือผ้าไตร ผมกับน้องชายบวชพร้อมกัน

                    วันนั้ พ่ออกไปหาปลาที่ทุ่งแม่ระวิง หน้าน้ำ น้ำจะมาก พ่อไปคนเดียว แล้วก็หายไปจนดึก แม่ก็ออกตามหา คิดว่าพ่ออาจแวะดื่มเหล้ากับเพื่อนๆที่คุ้นเคยกัน แต่ก็ไม่พบ ทางน้าชายกับน้องชายก็ตัดสินใจออกตามไปที่ทุ่งแม่ระวิง ต้องถ่อเรือไป หาอยู่หลายชั่วโมงก็พบศพพ่อนอนคว่ำหน้าจมน้ำอยู่ น้องชายอุ้มร่างพ่อลงเรือแล้วช่วยกันลากเรือกลับมาบ้านกับน้าชาย

                ผมไม่ได้พบหน้าพ่อตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ตั้งแต่เปิดเทอมปี 4 และไม่ได้โทรศัพท์คุยกับพ่อเลยเพราะที่บ้านไม่มีโทรศัพท์ พอกลับมาอีกทีพ่อก็ไม่สามารถคุยกับผมได้อีกแล้ว วันเผาศพพ่อ แม่ร้องไห้มาก ผมกับน้องก็ร้องไห้ ผมต้องกอดแม่ไว้ตลอดเวลา ผมบอกมว่า ผมจะดูแลแม่และน้องเอง ผมบอกต่อหน้าศพพ่อที่กำลังถูกเผาไป

                    ผมเชื่อมั่นว่า คนที่สูญเสียพ่อ เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ผมกลับมาคิดว่า ถ้าพ่ออยู่ ผมจะทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ให้พ่อ แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว สำหรับคนที่มีพ่ออยู่ ก็อยากให้ใช้เวลาที่มีคุณค่าเหล่านี้กับพ่อมากๆ ผมพาแม่ ภรรยาและลูกๆกลับบ้านที่สุโขทัยอย่างน้อยเดือนละครั้ง ไปกราบรูปและโกศกระดูกพ่อและย้ำให้ลูกๆได้จดจำรูปของปู่ไว้ในใจ เล่าเรื่องราวของปู่ให้เขาฟัง เพื่อให้เขาได้รับรู้ว่าเขามีปู่อยู่ใกล้ๆ น้องขิม อายุแค่ 5 ขวบ เล่าให้ผมฟังว่า ปู่มาหาเขาในฝันบ่อยๆ

                     พ่อผมชื่อจ๊อดหรือทองใบ บัญญัติ พ่อเป็นลูกแฝด แต่แฝดพี่เสียชีวิตตอนเล็กๆไปก่อน เหลือพ่อซึ่งเป็นแฝดน้อง พ่อเป็นลูกคนที่สาม ในจำนวนลูกทั้งหมด 10 คน เรียนหนังสือจบชั้นปอสี่ แต่อาจารย์ที่โรงเรียนสวรรค์อนันต์ท่านหนึ่งเคยเป็นเพื่อนเรียนกับพ่อสมัยประถมบอกว่าพ่อเรียนหนังสือเก่ง แต่ต้องออกมาช่วยปู่กับย่าทำนา พ่อตัวเล็กสูงแค่ 150 กว่าๆ แต่พ่อก็แข็งแรงมาก ปู่เป็นคนสวรรคโลก ย่าเป็นคนศรีสำโรง ตอนเล็กๆพ่อจะอยู่บ้านที่ศรีสำโรง พอโตขึ้นก็จะตามปู่มาทำนาที่ป่ากุมเกาะ พ่อบวชที่วัดหนองกระดี่ ศรีสำโรง พ่อจะเทียวมาทำนาที่ป่ากุมเกาะ ทำให้ได้มีโอกาสพบรักกับแม่ แต่งงานกับแม่และมาใช้ชีวิตครอบครัวทำไร่โดยพักอยู่ที่บ้านป่ากุมเกาะกับตาและยายผม (พ่อใหญ่ แม่ใหญ่) พ่อเป็นคนขยัน หนักเอาเบาสู้ มีน้ำใจกับญาติพี่น้อง เป็นที่รักของตากับยายมาก

                  พ่อชอบร้องเพลง ร้องเพลงได้ไพเราะมาก โดยเฉพาะเพลงของชาย เมืองสิงห์ พ่อจะชอบร้อง ร้องบ่อยๆ ทำให้ผมโตมาก็ชอบเพลงของชาย เมืองสิงห์ไปด้วย พอผมโตรู้เรื่องแล้ว ผมก็ได้ฟังพ่อร้องเพลงได้ไพเราะจริงๆ แต่พ่อจะร้องก็ต่อเมื่อได้ดื่มเหล้าด้วยเท่านั้น ถ้าไม่ดื่มเหล้าพ่อจะไม่ค่อยคุย แต่พ่อก็จะดื่มหลังจากที่ว่างจากการทำงานหรือในช่วงเทศกาล แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนพ่อเป็นวัยรุ่นพ่อจะไปสมัครเป็นลูกวงของวงดนตรีเพื่อจะหาโอกาสไปเป็นนักร้อง แต่ย่าไม่ให้ไปก็เลยอยู่ทำนาและมาพบรักกับแม่ ไม่งั้นพ่ออาจเป็นนักร้องลูกทุ่งหรืออาจทำงานที่กรุงเทพฯไม่ได้มาพบแม่ก็ได้ ก็คงเป็นบุบเพสันนิวาสของพ่อกับแม่ที่ทำให้มาเจอกัน รักกัน

                    เรื่องร้องเพลงนี่ ผมไม่ได้มาจากพ่อเลย ร้องเพลงไม่เก่ง เวลาร้องก็เผลอผิดคีย์อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ชอบร้องรำทำเพลงเหมือนกันโดยเฉพาะเพลงลูกทุ่งกับเพลงเพื่อชีวิต น้าเล่าให้ฟังว่าสมัยผมยังตัวเล็กๆ จะคลานไปนั่งตักพ่อในวงเหล้าเป็นประจำ แล้วน้าๆเขาก็ชอบเอานิ้วจุ่มในแก้วเหล้าเหล้าแล้วมาป้ายปากผมบ่อยๆ ผมก็ชอบซะด้วย แต่พอโตมาผมก็ไม่ค่อยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ดื่มเลย ปีหนึ่งอาจจะมีบ้างสักสี่ห้าครั้ง

                   สมัยยังเด็กอยู่ในไร่กับพ่อ พ่อจะทำชิงช้าให้เล่นโดยใช้กระบอกไม้ไผ่ร้อยด้วยเชือกมัดวัว แขวนชิงช้าใต้ถุนห้างและในโรงเก็บถั่ว (แถวบ้านเรียกว่าโรงทึม เอาไว้เก็บถั่วที่ตัดแล้วรอไว้ให้แห้งก่อนจะนำมาฟาดเอาเมล็ดไปขาย) ตอนน้องชายเล็กๆกำลังหัดเดิน พ่อก็เอาไม้ไผ่มาทำเป็นแกนหมุนมีด้ามจับให้น้องจับฝึกเดิน

                    พอเริ่มโตมากขึ้น ก็ชอบตามพ่อไปจับปลา บางทีพ่อก็จะขุดหลุมแล้วเอาไหไปวางไว้ดักทางน้ำไหล พอปลาว่ายมาก็จะตกลงไปหรือไปจับปลาที่แอ่งน้ำที่น้ำไม่ลึกนัก พ่อกับผมก็จะช่วยกันทำคันกั้นน้ำออกเป็นสองส่วน แล้วช่วยกันวิดน้ำด้านหนึ่งให้แห้ง เพื่อจับปลาไปเป็นอาหาร มีทั้งปลาซิว ปลากระดี่ ปลาหมอ ปลาไหล ปลาช่อน จับไปขังไว้ในอ่างที่บ้านไว้ทำอาหารกินได้หลายวัน

                   ตอนอยู่ในไร่ พ่อเลี้ยงวัวไว้คู่หนึ่ง สำหรับเทียมเกวียน (ล้อ) ไถที่ทำไร่ ตอนกลางวันก็พาไปเลี้ยงข้างงๆไร่ให้มันกินหญ้า ตอนเย็นก็จะพากลับมานอนในไต้ถุนไร่ ทำเป็นคอก มีมุ้งให้มันด้วย พ่อบอกว่า ถึงวัวจะเป็นสัตว์ เวลาถูกยุงหรือเหลือบกัด มันก็เจ็บเหมือนกัน วัวมันช่วยเราเยอะ เราก็ต้องดูแลมันให้ดี ผมก็จะไปช่วยพ่อต้อนวัวเข้าคอก กางมุ้งให้มัน แล้วก็คอยไล่ตบเหลือบให้มัน เวลาไปไหนไกลๆก็นั่งเกวียนไปกัน ผมก็จะขอพ่อขับเกวียนเอง คอยดึงเชือกวัวไว้ สั่งให้มันเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาได้ ตอนไถที่ก็จะตามพ่อไปด้วยช่วงใกล้ๆเย็นเพราะแดดไม่ร้อน ไปเรียนรู้การไถที่ จับคันไถกับพ่อ พ่อก็จะคอยสอนผมว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ เวลาผมไปช่วยพ่อ พ่อจะทำงานได้ช้าลง แต่พ่อก็ไม่เบื่อที่จะแนะนำหรือสอนให้เราฝึกทำ การเรียนรู้จากครอบครัว เป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่ามาก แต่ก็ถูกละเลยลดน้อยลงไปมากในปัจจุบัน ที่เด็กเข้าโรงเรียนเร็วและเรียนหนังสือ มากกว่าเรียนรู้ประสบการณ์พื่อการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของครอบครัวและชุมชนของตนเอง

                     ตอนเย็นแม่ทำกับข้าว พ่อก็จะเป็นคนไปหาบน้ำมาใส่ตุ่มไว้ใช้ ถ้าช่วงหน้าหนาว วัวไม่ค่อยมีหญ้ากิน พ่อก็จะเป็นคนไปเกี่ยวหญ้ามาให้วัวกิน บางทีต้องหาบฟ่อนหญ้าไกลเป็นหลายกิโลเมตร งานที่หนัก ต้องใช้แรงมาก พ่อจะเป็นคนทำเอง การทำไร่ถั่ว ไร่ฝ้าย ต้องดูแลอย่างมากเพราะจะมีศัตรูมากทั้งแมลงและวัชพืช ต้องดายหญ้าบ่อยและต้องฉีดยาฆ่าแมลงด้วย พ่อจะเป็นคนฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเอง พื้นที่ 15 ไร่กว่าจะเสร็จพ่อก็เดินไปเดินมาตามแถวถั่ว ฝ้าย หลายๆเที่ยว ก็ดูพ่อเหนื่อยเหมือนกัน แต่พอเลิกงานมาพ่อก็จะอารมณ์ดี เวลาผมกับน้องเล่นกับพ่อ คุยกับพ่อ พ่อก็ไม่เคยหงุดหงิดหรือตวาดเราเลย แม้พ่อจะเหนื่อย พ่อก็ไม่เคยบ่น

                      ตกค่ำพ่อชอบออกมานอนตากลมเย็นๆที่นอกชาน ผมก็จะมานอนเล่นกับพ่อด้วย แต่หน้าฝนไม่ค่อยน่านอนตากลมเท่าไหร่เพราะยุงเยอะมาก วันไหนฝนตก ดินในไร่แฉะ ลงไปทำงานในไร่ไม่ได้ พอฝนหยุดพ่อก็จะเข้าป่า ไปหาขุดมันเสา มาทำขนมหวานกิน พ่อจะชำนาญมากว่าบริเวณไหนจะมีมันเสาอยู่ เถาแบบไหนควรขุด เถาแบบไหนแก่ไป อ่อนไป พอขุดไปกว่าจะได้บางทีขุดลึกเป็นสองสามเมตรก็มี พ่อเป็นคนขุดเอง ผมก็ได้นั่งดู แต่พ่อก็สอนให้เราสังเกต เรียนรู้ แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว เถามันเสาเป็นอย่างไร ยังจำไม่ได้เลย พอได้มันเสามาแม่ก็ต้มกินจิ้มน้ำตาล หรือบวดมันให้กินเป็นของหวาน อร่อยมากทำ ขนมที่แม่ทำให้กิน แม้ไม่หรูหรา แต่ก็มีส่วนผสมของความรักของแม่และพ่อใส่ไว้อย่างเต็มเปี่ยม กินแล้วอิ่มท้องและก็อิ่มใจด้วย

                   ไร่ถั่วเหลืองสมัยนั้น พอปลูกจนออกฝัก ใกล้จะแก่ เราก็ตัดมาทำถั่วต้มกิน ก็อร่อยดี พอตัดถั่วเสร็จ ก็ตากไว้ในไร่ก่อนให้แห้ง แล้วก็จะเก็บไว้ในโรงทึม แต่มักมีปัญหาฝนตกมาก ทำให้ถั่วเปียกฝนจนเน่าได้ ก็ต้องรีบเก็บเข้าไว้ในโรงทึม ทำเป็นฟ่อนแล้วใช้ไม้คันเหลา (ไม้ไผ่เหลาปลายแหลมสองด้าน) เสียบไปในฟ่อนถั่ว ข้างละฟ่อน หาบเข้าไปเก็บ ต้องเดินลุยโคลน และต้องระวังไม่เหยียบตอถั่ว เพราะจะตำเท้าเป็นแผล เจ็บมาก หลังจากหมดฝน ถั่วแห้งดี ก็จะนำมาฟาดเอาเมล็ดถั่วเหลืองไปขาย ตอนแรกๆก็ใช้ตากที่ลานหน้าห้างแล้วใช้ไม้ควงทุบใช้แรงคน ไม้ควงจะเป็นไม้เนื้อแข็ง 2 อัน ผูกติดกันด้วยแกนไม้ เวลาใช้จะจับอันหนึ่งไว้ แล้วออกแรงเหวี่ยงให้อีกอันหมุนลงไปทุบฟ่อนถั่วที่วางไว้ ทุบจนเมล็ดถั่วแตกออกจากฝัก แล้วก็เอาฟางถั่วออก แล้วก็ใช้กระด้งมาฟาดเอาฝุ่นเอาผงออก วันหนึ่งได้ถั่วประมาณ 4-5 กระสอบ เหนื่อยมาก ใช้แรงงานทั้งวัน กลางแดดจัดๆ เพราะถ้าไม่มีแดดก็ทุบถั่วไม่ได้ ฟางถั่วก็เก็บกองไว้ สำหรับสุมไฟผิงเวลาเข้าหน้าหนาวหรือใช้เป็นเชื้อเพลิงเผาข้าวหลามได้

                   ตอนหลังพ่อซื้อรถดายหญ้าคูโบต้า (รถไถนาแบบเดินตาม สามารถต่อรถพ่วงได้) ก็ขายวัว ใช้รถดายหญ้าวิ่งเหยียบแทนการทุบถั่ว ทำให้เหนื่อยน้อยลง ทำได้เร็วขึ้น และก็ไม่ต้องฟาดถั่วด้วยกระด้งเพราะมีเครื่องปั่นเศษผงออกจากเมล็ดถั่วได้ เรียกว่า วี ตอนแรกใช้แรงคนหมุน แต่พอมีรถก็ใช้สายพานต่อกับรถดายหญ้า ก็สบายมากขึ้น พอทุบถั่วหมดแล้ว ก็จะเหมารถสองแถวนำไปขายให้เถ้าแก่ที่ตลาดสวรรคโลก พ่อกับคนขับรถจะช่วยกันยกกระสอบถั่วขึ้นรถ ถั่วกระสอบหนึ่งหนักไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม พ่อจะเป็นคนไปขาย ขากลับพ่อจะซื้อขนมมาฝากพวกเราในไร่

                    พอผมโตขึ้น ก็อยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่ในไร่ แต่พอปิดเทอมผมก็จะไปนอนในไร่กับพ่อ กลางวันช่วยพ่อดายหญ้า หาบถั่วบ้าง แต่พ่อไม่ค่อยให้ทำ พ่อกลัวผมเหนื่อย กลัวร้อน กลัวไม่สบาย พ่อจะบอกเสมอว่าพ่อทำเองได้ การได้เห็นความยากลำบากของพ่อแม่ เป็นแรงจูงใจให้ผมขยันอ่านหนังสือเรียนหนังสือ เพื่อจะได้มีงานสบายๆทำ มีรายได้ที่จะมาดูแลไม่ให้พ่อแม่ลำบากได้ ตอนอยู่มอต้น ผมอยากเป็นทหารมาก แต่พออยู่มอสี่ ผมไปนอนในไร่ อ่านหนังสือตอนกลางคืนโดยแสงตะเกียงน้ำมันก๊าด แสงสว่างไม่ค่อยพอ ทำให้ผมต้องอ่านหนังสือใกล้มาก ทำให้ผมสายตาสั้น และตอนหลังก็มีแรงดลใจหลายอย่างในชีวิตให้อยากเป็นหมอ รวมทั้งหนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง เกิดเป็นหมอ ด้วย ทำให้ชีวิตหันเหมาเป็นหมอจนทุกวันนี้

                   พ่อผม เป็นหมอพื้นบ้านด้วย มีความสามารถในการเกลื่อนฝี ถ้าใครเป็นฝีก็จะมาให้พ่อรักษาให้ ใช้ปูนแดงทารอบๆหัวฝี เรียกว่า เกลื่อนฝี และต้องใช้คาถาเป่าด้วย แต่เสียดาย ผมไม่ได้ขอพ่อไว้ และด้วยเหตุนี้ อาจเป็นแรงดลใจอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนไทย

                   พ่อไม่ค่อยตีผม แม่ตีผมมากกว่า แม่บอกว่ามีครั้งหนึ่ง ผมดื้อมาก พ่อก็ตีผมหลายครั้งมาก ผมก็ไม่หยุดร้องไห้ จนพ่อสงสารต้องหยุดตีไปเอง แต่ผมจำไม่ได้ ถ้าจะถามว่า พ่อกับแม่ ผมกลัวใครมากกว่า ผมตอบได้เลยว่า กลัวพ่อมากกว่า พ่อสอนอะไร ผมจะจำและปฏิบัติตาม เช่น มีครั้งหนึ่ง ผมไปเล่นกับเพื่อนและหัดเล่นไพ่ป๊อกกัน พ่อก็ไปตาม พ่อไม่ตี แต่พ่อก็สอนว่า อย่าไปหัดเล่นการพนัน เพราะไม่มีใครหรอกที่เล่นการพนัน แล้วชีวิตอยู่ดีมีสุข ทำให้ผมเล่นการพนันไม่เป็นเลย อีกครั้งหนึ่ง ผมเอารถของเล่นของเพื่อนมา พ่อรู้บอกว่า ให้เอาไปคืนเขาทันที ของของใครๆก็หวง การไปเอาของคนอื่นมาเป็นสิ่งไม่ดี อย่ามีนิสัยเช่นนี้ อย่าฝึกนิสัยยักยอกของของที่ไม่ใช่ของตนเอง แม้เจ้าของหรือคนอื่นๆ ไม่รู้ แต่เราก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ใจเราจะไม่มีความสุข ต้องคอยหวาดระแวง ว่าเขาจะรู้

                ตอนปิดเทอมกลางชั้นมอสี่ ผมไปนอนในไร่กับพ่อ พ่อสอนผมว่า ฝากไว้สองอย่างในชีวิตนะ เชฐโตแล้ว เรียนหนังสือมากกว่าพ่อแล้ว สามารถเรียนรู้ได้ว่าอะไร ดี ไม่ดี ต้องรู้จักเลือกทำในสิ่งที่ดีๆ อย่าทะนงตน และที่สำคัญสองข้อคือ จงเป็นดั่งเกลือรักษาความเค็ม และ ต้นตรงปลายตรง พร้อมกับพ่อก็อธิบายความหมาย ยกตัวอย่าง ให้ผมฟัง นอนคุยกันนานมาก  และเท่าที่จำได้ หลังจากนั้นพ่อก็ไม่ได้สอนอะไรผมแบบที่นั่งคุย นอนคุยกันนานๆแบบนี้อีกเลย

                   ทุกครั้งที่ผมเหนื่อย ท้อถอย อ่อนล้า นอกจากแม่ ภรรยาและลูกๆที่คอยเติมพลังให้กำลังใจแก่ผมแล้ว ก็ยังมีภาพของพ่อ ผู้ชายตัวเล็กๆที่สามารถทำงานหนักๆได้โดยไม่บ่น ไม่ท้อ และยิ้มได้อย่างอบอุ่นกับลูกๆเสมอ ปีนี้ ไม่ได้ไปวัดทำบุญให้พ่อ แต่แม่ ภรรยา ลูกๆและน้องก็ได้ไปทำบุญให้พ่อ สำหรับผม หากเป็นไปได้ ขอให้คืนนี้อยากจะฝันว่าพ่อมานอนกอด ในใจก็ยังเชื่อว่า พ่อคอยดูแลเราอยู่เสมอ ไม่ไกลเลย อยู่ในใจของเรานี่เอง บันทึกนี้เผื่อแผ่สำหรับคนที่รักพ่อทุกคนครับ

"ใครหนอรักเราเท่าชีวัน (คุณพ่อคุณแม่) ใครหนอใครกันให้เราขี่คอ ใครหนอชักชวนดูหนังสี่จอ รู้แล้วละก็ อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ"

พิเชฐ  บัญญัติ

Verbond straat 52

2000 Antwerp, Belgium

21 กันยายน 2550

23.05 น. ( 04.05 น.เมืองไทย ) 

หมายเลขบันทึก: 130513เขียนเมื่อ 22 กันยายน 2007 04:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 21:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

  มาขอแจมด้วยเลยเพื่อน   พ่อกับแม่เรายังอยู่แต่พ่อเป็น CVA LT. HEMIPLEGIA ความคิดช้ากว่าเดิมแต่ความจำยังดี ได้ดูแลพ่อตอนอยู่ ICU กลับมาบ้านพร้อม TRACHEOSOMY  จนดีขึ้นเรา OFF ให้เอง ตอนหลังได้นำประสบการณ์การดูแลและนำ SILVER TUBEของพ่อไปเปลี่ยน  และ OFF ให้คนไข้ไปหลาย CASE รู้สึกว่าโชคดีที่ได้เป็นหมอ อย่างน้อยก็ได้ดูแลเวลาพ่อป่วย เราลาพักผ่อนไปเลยไป OBSERVE NEURO SIGN เอง ดูแลคนอื่นมาเยอะแล้วทำไมเวลาพ่อป่วยจะลาไม่ได้ เราได้แต่ ORDER ให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ พอลองทำเอง เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าปูที่นอน EVACUATE  แรกๆยังทำเก้ๆกังๆเลย ถ้าญาติหรือตัวเองป่วยจะทำให้เข้าใจคนไข้และญาติมากขึ้นนะ  กว่าจะเขียนจบเราว่าเธอคงกลั้นไม่อยู่หรอก หยุดซับน้ำตาเป็นระยะแน่เลย  เราก็เคยนั่งนึกว่ากว่าจะมีเราในวันนี้ พ่อกับแม่ทำอะไรเพื่อเรามามากมาย เวลาที่เหลืออยู่จะแบ่งให้กับพ่อแม่บ้างไม่ได้เชียวหรือ เวลาเห็นคนไข้แก่ๆมานอนรพ.แล้วไม่มีลูกหลานมาเฝ้ารู้สึกสงสารจริงๆ  ป่านนี้ไอ้ปุ๋ยก็คงหมดทิชชูไปหลายม้วนเหมือนกัน

เป็นคนนึงที่ครอบครัวอบอุ่นมากค่ะ...สนิทกับคุณพ่อคุณแม่  กอด  หอม  บอกรัก  กันตลอด  สำหรับตัวเองแล้ว  พ่ออบอุ่น  อ่อนโยน  และเป็นกำลังใจสำคัญ  ไม่บังคับ  แต่ให้แนวทางและชีวิตที่ดีและสวยงาม  แก่ลูกสาวของท่าน  รักพ่อมากกกกกกกกกกกกค่ะ.....

 

ถ้าเปรียบพ่อเป็นดั่งดวงตะวัน  สาดแสง  นำทางให้แสงสว่าง  แม่คงเปรียบเหมือนดวงจันทร์  ที่อ่อนละมุน  สงบ  ร่มเย็นค่ะ

สวัสดีตุ๊ก

          เราได้ทราบเรื่องงราวของตุ๊กช่วงที่ดูแลพ่อจากพี่ก๊องแล้ว เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมาก เป็นการดูแลที่ดีที่เรียกได้ว่าเป็น Best practice ในการดูแลผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้เลย

การดูแลนี้เป็นการดูแลพ่อโดยลูกคนหนึ่งที่ดูแลได้อย่างดี น่าจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการปฏิบัติที่ดีอันยิ่งใหญ่หรือThe great best practice ตุ๊กคงมีเรื่องเล่าของการดูแลให้คนอื่นๆฟังได้มากจากประสบการร์การปฏิบัติจริง เขียนเล่าลงในบล็อคก็ดีนะ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

สวัสดีครับคุณBlueberry

ดีใจกับความโชคดีของชีวิตที่ได้อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น อันมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆ

ชอบการเปรียบเทียบมากครับ พ่อดุจตะวัน แม่ดุจจันทรา ส่องสว่างให้แก่ชีวิตเรา ไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ ยามหลับหรือยามตื่น อบอุ่น ร่มเย็น  

  • สวัสดีครับคุณหมอพิเชฐ
  • ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ตอนนี้ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ท่านทั้งสองเสียแล้ว
  • อ่านบันทึกตอนที่แล้ว และตอนนี้ ทำให้ผมน้ำตาซึมครับ...
  • ขอนำ 2 ข้อ ที่คุณพ่อคุณหมอได้เคยสอนไว้ นำไปสอนตนเอง และลูกๆ ของผมต่อไปนะครับ
  • ขอบพระคุณมากครับ
  • ขอส่งกำลังใจมาให้นะครับ
สวัสดีพิเชฐ เพิ่งได้เข้ามาอ่านวันนี้เองเมื่อวานนี้(24 กย)เป็นวันที่ยุ่งมากวันหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็นวันจันทร์ รู้ตัวอีกทีก็หนึ่งทุ่มแล้ว และเราก็ได้เห็นความรักของพ่อ-แม่ของคนไข้เราอีก(คนไข้ อายุ 20 ปีกว่า case electric shock  cardic arrest ตอนนี้ยังunconscious อยู่เลย) น่าสงสารมากพอเราเห็นอย่างนี้ทีไร เราจะอินมากอยากช่วยsupportจิตใจพ่อแม่เขาจัง แล้วทำให้เราคิดถึงพ่อแม่เราด้วย เราก็เสียพ่อไปตอนเราอายุ 9 ขวบเราจึงเข้าใจในสิ่งที่เธอเล่ามา ตอนนี้แม่ก็มาช่วยดูลูกคนเล็กให้เราเหมือนกัน(ปกติแม่จะมีความสุขกับการทำสวนที่พิจิตร)  เขียนบันทึกเล่ามาอีกนะ รู้สึกว่ามันทำให้เรารู้จักกันมากขึ้นกว่าเดิมนะ  
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท