หมอบ้านนอกไปนอก(11):มหัศจรรย์แห่งรัก


พอได้เห็นหน้าลูก ได้สัมผัสตัวลูก เราก็รับรู้โดยอัตโนมัติว่าภาระของความเป็นพ่อได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เปรียบเสมือนห่วงที่ผูกคอเราไปตลอดชีวิต รู้สึกว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่

    เมื่อคืนก่อนได้เข้าเว็บของ มสธ.เพื่อเช็คผลสอบ ผลสอบก่อนเดินทางมาเบลเยียมสามวิชาคือการวิจัยสำหรับการแพทย์แผนไทย (วิชาเฉพาะ) ไทยศึกษา (วิชาทั่วไป) และภาษาอังกฤษสำหรับบุคลากรสาธารณสุข ปรากฏว่าสอบผ่านทั้งสามวิชา วิชาภาษาอังกฤษได้ H มาด้วย ตำราของสามวิชานี้อ่านเข้าใจได้ดีมาก อย่างเรื่องวิจัยนี่ ผมคิดว่าอ่านเข้าใจง่ายที่สุดตั้งแต่ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการวิจัยมาเลย ส่วนภาษาอังกฤษก็ดีมาก ผมนำมาอ่านที่เบลเยียมด้วย

ชีวิตตอนนี้กลายมาเป็นนักเรียนเต็มตัว คือเรียนอย่างเดียวจริงๆ หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ 14 ปีมาแล้ว ตอนที่แนะนำตัวในกลุ่มให้บอกประสบการณ์การเป็นแพทย์ ผมบอกว่าเป็นแพทย์มา 14 ปีแล้ว หลังจบชั้นเรียนเพื่อนคนหนึ่งชื่อโรติมี่ จากไนจีเรีย เข้ามาถามว่า เป็นหมอมา 14 ปีแล้วหรือ อายุเท่าไหร่ ผมก็บอกไปว่า 38 ปี เขาบอกว่า ดูหนุ่มกว่าอายุมาก (ไม่รู้เขาพูดจริงหรือเอาใจ แต่ดูแล้วผมคิดเองว่าเขาพูดจริง เข้าข้างตัวเองมากเหลือเกิน...) สังเกตว่า ตอนคุยกันนอกห้องเรียน คุยกันรู้เรื่อง แต่พอฟังในห้องเรียน รู้สึกว่าจะฟังยาก

ตอนเช้าตื่นเช้ามาก็กินข้าวเช้าที่บ้านโดยมีพี่เกษมเป็นพ่อครัวทำกับข้าว ผมหุงข้าวแล้วก็ล้างจาน ผมเลือกที่จะทำสิ่งที่ผมถนัด พี่เกษมก็ทำสิ่งที่เขาถนัดเช่นกัน ก็เลยไปด้วยกันได้ คนเราต้องมีอะไรเหมือนกันบ้างจึงจะอยู่ด้วยกันได้ แต่ก็ต้องมีอะไรที่แตกต่างกันบ้างเพื่อจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เราห่อข้าวไปกินกลางวันใส่กล่องพลาสติกไป

วันที่18 เรียนเรื่องทักษะการสื่อสารกับอาจารย์มูนิค เป็นการเรียนที่สนุกมาก ฟังรู้เรื่องตลอดสี่ชั่วโมง ตั้งแต่เก้าโมงถึงบ่ายโมง จึงพักกินอาหารกลางวัน การเรียนมีเกมส์ให้เล่น เป็นเกมส์โยนลูกบอลให้เพื่อน ตอนแรกเรียกชื่อแล้วโยน ตอนหลังเรียกชื่อแล้วถามด้วยว่าจะให้โยนอย่างไร แล้วก็มีเกมส์ทำตามคำบอกเล่าของเพื่อนในการต่อจิ๊กซอว์ ปรากฏว่าทำได้ไม่ตรงกับคนบอกสักกลุ่มเลย ตอนบ่ายเรียนกับอาจารย์ฌอง ปิแอร์ เกี่ยวกับระบบสุขภาพ ฟังยากหน่อย มักจะเผลองีบบ่อยๆ

กลับบ้านหกโมงเย็น ไม่สามารถต่อสไกป์คุยกับลูกได้เพราะดึกแล้ว ก็เลยมานั่งเขียนบันทึกต่อดีกว่า ตอนนี้ก็จะพูดถึงลูกๆทั้งสามคน จะเรียกว่า พยานรัก แบบในละครก็ได้

ผมกับภรรยามีการวางแผนครอบครัวตั้งแต่ตอนเป็นแฟนกันคือตั้งใจจะมีลูก 3 คนแถมเตรียมตั้งชื่อไว้แล้วด้วย  ตอนแต่งงานก็ทำของชำร่วยเป็นนกสองตัวมีไข่ 3 ฟอง พอแต่งงานกันแล้วก็มีลูกตามนั้นจริงๆ โดยลูกคนแรกน้องแคนเป็นผู้ชายชายเกิด 3 เมษายน 2540 หลังแต่งงานได้ 6 เดือนก็ท้องเพราะทานยาคุมไม่ได้ พอคลอดเสร็จก็ใส่ห่วงไว้อีกเกือบ 5 ปีต่อมาก็ตั้งครรภ์เพราะถอดห่วงออกและคลอดคนที่สองน้องขิมเป็นผู้หญิงเกิด 3 สิงหาคม 2544 หลังคลอดก็ใส่ห่วงใหม่ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ของผมทำการคุมกำเนิดให้คนไข้แล้วตั้งท้องคือภรรยาผมเอง โดยห่วงหลุดก็เลยได้ลูกชายคนเล็กมาอีกคนคือน้องขลุ่ย เกิด 3 ธันวาคม 2545 คราวนี้เลยครบ 3 คนตามต้องการภรรยาก็เลยทำหมัน โดยผมเป็นหมอทำให้ จริงๆผมก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันนะ ที่ปล่อยให้ภาระการคุมกำเนิดเป็นเรื่องของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว  

การดูแลขณะตั้งครรภ์ ขณะเจ็บท้องการเฝ้าคลอดและการทำคลอดลูกทั้ง 3 คนผมเป็นคนทำเองทั้งหมดเรียกว่าเป็นบริการเบ็ดเสร็จ(One stop service) ลูกผมทั้ง 3 คนคลอดที่โรงพยาบาลที่ผมเป็นผู้อำนวยการทั้ง 3 คน ไม่ได้ไปฝากพิเศษกับหมอสูติในเมืองเพราะเราสองคนคิดว่าถ้าเรายังไม่ไว้ใจโรงพยาบาลที่เราอยู่แล้วคนไข้ที่ไหนจะมาไว้ใจโรงพยาบาลเรา ก็เลยคลอดเป็นตัวอย่างให้ดูเลย โดยคลอดปกติไม่ได้ผ่าตัด ถ้าผ่าตัดก็คงไม่กล้าทำเองเหมือนกัน(แต่เพื่อนผมคนหนึ่งเขาผ่าตัดคลอดให้ภรรยาเขาเองที่โรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียงที่เขาอยู่เลย)

สิ่งที่น่าแปลกคือลูกผมทั้ง 3 คน เกิดวันที่เดียวกันคือวันที่ 3 ขณะที่ผมกับภรรยาเกิดวันที่ 4 โดยที่ลูกทั้ง 3 คนเกิดคนละฤดูคือเรียงกันเป็นร้อน ฝนและหนาว และลูกๆได้เกิดในเดือนที่เป็นมิ่งมงคลแห่งชีวิตคือเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนแห่งสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี เดือนสิงหาคมที่มีวันแม่แห่งชาติและเดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนที่มีวันพ่อแห่งชาติ  สิ่งเหล่านี้เกิดเองตามธรรมชาติ น่าแปลกไหมครับ

ผมเองจำความรู้สึกครั้งแรกของการได้เป็นพ่อได้อย่างดี ในวันที่ลูกชายคนแรก(น้องแคน) เกิด ภรรยาตั้งครรภ์หลังแต่งงานได้ 6 เดือนและลูกก็คลอดครบกำหนดทุกคน(ไม่มีก่อนกำหนดแล้วเด็กตัวโตๆแบบคนบางกลุ่มในสังคม) 1 เมษายน 2548 ภรรยาเริ่มมีเจ็บครรภ์เตือนเล็กน้อย วันที่ 2 ก็เริ่มเจ็บบ่อยขึ้นแต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นเจ็บจริง ตอนเย็นผมไปแข่งฟุตบอลกับทีมตำรวจ ในงานกีฬาข้าราชการสัมพันธ์ของอำเภอแม่พริก เนื่องจากไม่มีโทรศัพท์ภรรยาอยู่ที่บ้านพักคนเดียวต้องยืมวิทยุมือถือของคนขับรถไว้ติดต่อกันเพราะสนามแข่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลประมาณ 2 กิโลเมตร แข่งเสร็จประมาณ 1 ทุ่มจึงกลับบ้านพัก

ประมาณ 2 ทุ่ม ก็เริ่มเจ็บครรภ์มากขึ้น ผมก็เลยพาขึ้นไปนอนบนโรงพยาบาลที่มีห้องพิเศษอยุ่ห้องเดียวและก็ว่างพอดี (ตึกโรงพยาบาล 10 เตียงจะไม่มีห้องพิเศษ ผมปรับห้องเก็บของเล็กๆข้างหอผู้ป่วยทำเป็นห้องพิเศษเพื่อให้กลุ่มที่เบิกได้หรือมีฐานะที่มานอนโรงพยาบาลได้ใช้ หากให้อยู่ห้องรวมเขาจะไม่ยอมนอน) ตรวจภายในปรากฎว่าปากมดลูกเปิด 2 ซม.แล้ว ผมก็รับอาสาพยาบาลเวรนั่งเฝ้าคลอดเองพร้อมกับการอยู่เวรดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินไปด้วย  การนั่งเฝ้าคนไข้คลอดเองทำให้ได้รับรู้ความรู้สึกของคนเจ็บท้องคลอดว่ารุนแรงแค่ไหน ทุกครั้งที่มดลูกบีบตัว เขาจะเจ็บปวดรุนแรงมากสังเกตจากการบีบมือเราแน่นมาก  การเปิดขยายปากมดลูกก็ค่อนข้างช้า เกือบตกเกณฑ์ปกติ จนประมาณตี 5 ปากมดลูกเปิดหมด ก็เข้าห้องคลอด มีน้องพยาบาลจบใหม่ 2 คน อยู่เวร เบ่งคลอดอยู่เกือบชั่วโมงก็ยังไม่คลอด จนผมต้องบอกว่าจะใช้เครื่องดูดสูญญากาศดูดออก ภรรยาบอกว่าขอลองเบ่งอีกครั้งปรากฎว่าคลอดศีรษะออกมาได้ มีรกพันคอ ต้องค่อยๆจับออกแล้วดูดน้ำคร่ำออกจากปากจมูกแล้วก็ทำคลอดไหล่ แขน ตัวและขาออกมา เป็นเพศชาย ผมก็เรียกดังๆว่า น้องแคนนี่พ่อนะ ร้องดังๆหน่อยลูก พร้อมกับการหนีบสายสะดือและกระตุ้นจนร้องเสียงดัง เสร็จสิ้นการคลอดก็ได้ให้ลูกกินนมแม่ทันทีหลังคลอดขณะเดียวกับที่ผมเย็บแผลฝีเย็บไปด้วย  (การที่ผมเรียกชื่อลูกได้เลยเพราะเราตกลงกันว่าถ้าเป็นผู้ชายชื่อแคน ถ้าเป็นผู้หญิงชื่อขิม) น้องพยาบาลทั้งสองคนได้คุยกันภายหลังเขาบอกว่าเขาตื่นเต้นมากเลยเพราะเพิ่งจบใหม่มาทำงานได้ไม่ถึง 1 ปี เขาถามว่าผมไม่ตื่นเต้นเลยหรือ จะไม่ตื่นเต้นอย่างไรละครับ ทั้งภรรยา ทั้งลูก แต่ก็พยายามเก็บอาการไว้กลัวน้องพยาบาลเขาจะลุกลี้ลุกลน

หลังจากน้องแคนได้ 5 ขวบ เราก็ตัดสินใจมีลุกคนที่สอง โดยขณะตั้งครรภ์ ก็ฝากครรภ์ตามปกติ มีผมเป็นหมอประจำตัว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ได้ทำอัลตร้าซาวด์หรือตรวจพิเศษอะไร แต่ใจก็อยากได้ลูกผู้หญิงนะ คงเป็นธรรมดาที่อยากมีลูกทั้งสองเพศ พอแฟนเจ็บท้องคลอดเมื่อครบกำหนด ก็ไปนอนที่ตึกหญิงโรงพยาบาลบ้านตาก พอใกล้คลอดก็ย้ายมาที่ห้องรอคลอด ผมก็เฝ้าคลอดเองเหมือนกัน พอตอนเย็นก็คลอดแบบปกติ คลอดไม่ยาก พอทำคลอดลูกออกมา ผมก็เรียกชื่อเลยว่า “น้องขิม” ลูกก็ร้องเสียงดังดี แต่พอคลอดได้ 2-3 วัน น้องขิมเขาตัวเหลือง ต้องส่องไฟอยู่สามวัน กว่าจะดีขึ้นและกลับบ้านได้ ผมก็ทำตัวเป็นหมอเด็ก ดูแลลูกเอง ให้ส่องไฟรักษา แต่ตอนนั้นเครื่องส่องไฟเด็ก ทำเองแบบง่ายๆดูไม่น่าเชื่อถือและไม่สะดวกในการใช้ ผมเลยมาออกแบบทำใหม่หลังจากที่ลูกหายแล้ว เพื่อจะได้สะดวกในการใช้และเป็นที่น่าเชื่อถือไว้วางใจจากผู้ปกครองเด็ก นอกจากนี้ลูกต้องถูกเจาะเลือดบ่อย ดูท่าทางแล้วแฟนผมเขาจะรู้สึกสงสารลูกมาก ผมเองก็สงสารเวลาลูกถูกเจาะเลือด ร้องไห้เสียงดัง แต่เราก็ต้องให้ทำเพื่อการรักษาและติดตาม หลังจากออกจากโรงพยาบาลน้องขิมก็แข็งแรงดีตัวใหญ่ ปัญหาอะไร ตอนนี้น้องขิมอายุ เข้า 6 ขวบแล้ว เขาจะติดพ่อมาก ต้องนอนติดกันและกอดกันทั้งคืนและหอมแก้มกันทุกวัน ชอบให้อ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ฟัง ดูแล้วน้องขิมจะเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ช่วยตัวเองได้ดี ชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ ปีกว่ามานี้ ได้ไปเรียนตีขิมกับครูตาล ที่ในตัวเมืองตาก เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว ครูตาลจัดคอนเสิร์ตเล็กๆที่บ้านให้เด็กๆ ได้แสดงความสามารถทางดนตรีที่แต่ละคนเรียน

ลูกคนที่สาม หลังคลอด ผมก็ให้แฟนคุมกำเนิดโดยห่วงอนามัย เพราะใช้วิธีการชั่วคราวที่เป็นฮอร์โมนไม่ได้ แต่ปัญหาคือห่วงหลุด ภรรยาบอกแล้ว แต่ผมไม่เชื่อ เชื่อมือตัวเองมากกว่า ก็เลยตั้งครรภ์ติดกันเลย ท้องที่สามนี้ ผมก็ดูแลก่อนคลอดเอง รับฝากครรภ์เอง แต่ผมก็รู้สึกว่าลูกตัวเล็กกกว่าอายุครรภ์ ต้องทำอัลตร้าซาวด์ดู ผมทำให้เอง ดูแล้วลูกก็ปกติ ผมก็เลยต้องพยายามคลำตรวจหน้าท้องใหม่ ก็รู้เลยว่า สงสัยเราไม่ค่อยได้ทำ จึงคลำขนาดเด็กในครรภ์ไม่ค่อยแม่นแล้ว มัวแต่ไปทำเรื่องงานบริหาร พอครบกำหนดคลอดก็ยังไม่คลอด จนครบเกณฑ์เลยสองสัปดาห์แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจให้ยาเร่งคลอด ภรรยาบอกว่าปวดท้องมากกว่าปกติหลายสิบเท่า ผมก็คอยดูแลให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆ พร้อมๆกับเฝ้าคลอดไปด้วย ตอนแรกการเปิดขยายของปากมดลูกจ้ามาก แต่พอเริ่มเปิดก็เปิดได้เร็ว พอลูกคลอดออกมา ผมก็เรียกว่า “น้องขลุ่ยปกติดี ตัวไม่เขียวและร้องเสียงดังดี ตอนนี้น้องขลุ่ยอายุ 5 ขวบแล้ว เขาจะนอนเก็บแม่เขาตลอด ชอบให้แม่อ่านหนังสือให้ฟัง

น้องแคนหรือพชร เรียนรู้ได้เร็วมาก ตอนเล็กๆผมพาเขาไปตลาดก็จะสอนเขาเรื่องผัก ผลไม้ต่างๆ อาหารในตลาด และเวลาขับรถไปไกลๆก็จะสอนวิชาวิทยาศาสตร์เขา เช่น การระเหยของน้ำ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เป้นต้น สอนทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์และเชิงตำนาน นอกจากนี้ผมได้สอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยให้ลูกด้วย โดยเป็นการเล่าเรื่องให้ลูกฟัง สังเกตว่าลูกจะชอบมาก แต่เวลาเรียนในห้องเรียนครูบอกว่า จะสนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง แต่ที่ชอบมากคือวิชาวาดรูป แคนจะวาดได้ดีและเก็บรายละเอียดได้มาก ตอนนี้ก็ชอบเรื่องปลา จำปลาน้ำจืดและสามารถแยกแยะได้ดีมาก คะแนนในห้องเรียนลูกไม่ค่อยดีนัก ผมบอกครูว่า ผมไม่ซีเรียสเรื่องเกรด แต่ขอให้ลูกปรับตัวและเข้ากับเพื่อนๆได้ก็พอ และก็บอกลูกว่า ไม่สอบตกก็ดีแล้ว เวลาลูกกลับมาจากฟังผลสอบ ลูกบอกผมว่า วันนี้มีเรื่องจองบอกทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ข่าวดีคือเขาสอบได้ และข่าวร้ายคือ เขาสอบได้ที่ 19 จาก 21 คน ผมบอกลูกว่าไม่เป็นไร แต่ขอให้อ่านหนังสือมากๆตามที่เราสนใจ ผมสอนหนังสือลูกไม่มากนัก จะเน้นสอนวิธีการมากกว่า ตอนปอหนึ่งสอนอ่านหนังสือโดยการเน้นการสะกดคำ แจกลูกให้ได้คล่อง ส่งผลให้เขาอ่านหนังสือได้มาก พอปอสองก็ปล่อย ขึ้นปอสาม จึงสอนอีกครั้งโดยสอนคณิตศาสตร์ให้ลูก พอชั้นปอสามก็ปล่อย ตอนนี้อยู่ชั้นปอห้า ตั้งใจจะสอนภาษาอังกฤษ แต่ก็ไม่มีเวลา แต่คาดว่าจะได้เรียนจากชีวิตจริงเมื่อเขามาอยู่ที่เบลเยียม

น้องขิมหรือพิชญาภรณ์ จะสนใจแบบเด็กผู้หญิง คอยคลอเคลียใกล้ชิดมาก เขียนหนังสือได้สวย ตั้งใจเรียนดี  ขยันทำการบ้าน ชอบเล่นตุ๊กตาแบบเด็กผู้หญิง บางทีก็เล่นขายของกับน้องขลุ่ยหรือแตงโม ลูกสาวพี่ตุ๊ก (ภิพาภรณ์ โมราราช) ขิมจะมีความยืดหยุ่นสูงมาก ดูโตเร็วเหมือนผู้ใหญ่

น้องขลุ่ยหรือรชต จะมีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็สามารถพูดคุยเล่นกับเพื่อนๆได้ จะชอบดูหนังเรื่องพระนเรศวร สุริโยทัยและตากสินมหาราชมาก แล้วก็สมมติตัวเองเป็นทหาร ใส่หมวก ถือดาบหรือง้าว ทำเหมือนไปออกศึก ตามที่เห็นในหนัง เวลาพาไปร้านหนังสือก็จะขอซื้อหนังสือเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้

วันหยุด ผมจะพาลูกๆไปวัดพระบรมธาตุ ไหว้พระ และก็พาไปร้านหนังสือซีเอ็ดที่ตาก ลูกๆจะชอบมาก น้องแคนตอนแรกจะขอซื้อหนังสือมาก แต่ตอนหลังก็จะไปอ่านเป็นส่วนใหญ่  ส่วนขิมกับขลุ่ยจะซื้อหนังสือทุกครั้ง ผมจะให้ลูกเลือกตามใจเขาเอง ตัดสินใจเอง ไม่บังคับ

ลูกทั้งสามคนเรียนที่โรงเรียนอนุบาลรอดบำรุง ที่มีรั้วติดกับโรงพยาบาลบ้านตาก ลูกจะได้ไม่ต้องมีชีวิตที่เร่งรีบตั้งแต่เด็ก และไม่ต้องกลับบ้านมืดค่ำ

สำหรับผม พอได้เห็นหน้าลูก ได้สัมผัสตัวลูก เราก็รับรู้โดยอัตโนมัติว่าภาระของความเป็นพ่อได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เปรียบเสมือนห่วงที่ผูกคอเราไปตลอดชีวิต รู้สึกว่าเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่

ลูกผมสามคน เกิดวันที่เดียวกันคือวันที่ 3 ส่วนผมกับแฟนเกิดวันที่เดียวกันคือวันที่ 4 เป้นเรื่องที่น่าแปลกมาก เป็นมหัศจรรย์แห่งรักที่เรามีต่อกันและกัน

เมื่อคืนก่อนได้รับอีเมล์จากภรรยา ส่งเพลงมาให้ฟังสองเพลงหนึ่งนั้นคือ เพลงที่มีเนื้อหาดีมาก ชื่นชมคนเขียนเพลงที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกดีๆของความรักออกมาให้ได้อ่าน ได้ฟังกัน ดังนี้ครับ

"รักคือคำคำนี้ รักคือความอดทนทุกอย่าง จิงใจให้กัน รักคือความเข้าใจ รักคือยอมอภัยทุกอย่าง อภัยให้กัน ดั่งดวงตะวัน ที่ยังยั่งยืนคู่ฟ้า ความรักจึงบังเกิดมา ให้เป็นภาษาทางใจ ให้ไว้เพื่อช่วยนำทาง คู่ใจของเรา

รักคือเธอและฉัน รักคือความผูกพันยิ่งใหญ่ จากใจของเรา เพราะเราคู่กัน รักคือความอ่อนโยน รักนำทางสู่ความสำเร็จ เป็นจริงสมใจ รักคือเธอและฉัน รักคือความผูกพันยิ่งใหญ่ จากใจของเรา เพราะเราคู่กัน" 

การเลี้ยงลูกให้มีชีวิตที่ดีเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะชีวิตในโลกปัจจุบันที่อยู่ในโลกไร้พรมแดน ที่มีหลุมขวากดักทางชีวิตคนไว้มาก ลูกในแต่ละวัยจะเลี้ยงต่างกัน พ่อแม่ต้องปรับตัวมากและเกิดความเครียดได้ง่าย ผมก็พยายามขอความรู้การเลี้ยงลูกจากพี่ป้าน้าอารวมทั้งญาติผู้ใหญ่หลายๆท่าน เพราะเรื่องนี้เราไม่ชำนาญและต้องรอดูผลนาน ก็จะพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อดูแลคนรุ่นต่อไปของสังคม ก็คงต้องรอคอยดูผลกันต่อไป

พิเชฐ  บัญญัติ Verbond straat 52, Antwerp, Belgium,

18.24 น. (23.24 น. เมืองไทย) 19 กันยายน 2550

หมายเลขบันทึก: 129759เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2007 23:20 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 12:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • พี่เชษฐ์
  • อ่านแล้วซึ้งจังเลยค่ะ
  • แสดงว่ารู้จักวางแผนเป็นอย่างดี  มีลูกครบทุกสามฤดู อิอิ..
  • มีคนบอกว่า...พวกหมอเนี่ยรักษาคนไข้มาก็มาก แต่พอถึงตอนตัวเองเนี่ยกลับกลัว  บางคนก็กลัวเข็ม   ส่วนบางคนรู้เยอะ  กลัวว่าหมอคนอื่นจะทำพลาด  ไม่ทราบพี่เข้าข่ายไหนบ้างหรือเปล่าคะ
  • ง่วงนอนแล้วหล่ะ ไปนอนก่อนนะคะ

สวัสดียามดึกครับน้องลูกหว้า

             นอนดึกจังเลยนะ ดูแลสุขภาพด้วย

             ส่วนคำถามที่แถมมาด้วย ก็สารภาพตรงๆว่าพี่เชื่อมือตนเองมากกว่า ก็เลยไม่กล้าทำหมันชาย ต้องทำให้แฟน พี่ทราบมาว่า มีหมอรุ่นพี่คนหนึ่ง ทำหมันชายให้ตัวเองได้ แต่พี่ก็ไม่กล้าขนาดนั้นหรอก ส่วนเรื่องกลัวเข็มก็กลัวเหมือนกัน ตอนไม่สบาย แฟนฉีดยาให้ก็ยังกลัวๆเหมือนกัน แต่ตอนฉีดยาให้คนอื่น เราเฉยๆ คาดว่าคนไข้ก็คงกลัวๆเหมือนกัน

           หลับฝันดีนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาช่วยติดตามให้กำลังใจกันครับ

สวัสดีค่ะ..อ.หมอพิเชษฐ์  ขออนุญาตร่วมสนทนานะคะ..รู้จักอาจารย์ผ่านทางสื่อต่างๆมานาน..แวะอ่านบันทึกเสมอๆ..หลายอย่างได้นำไปปรับใช้และได้ผลดี..อ่านบันทึกนี้แล้วรู้สึกดีค่ะ..อบอุ่น..อ่านไปอมยิ้มไป..มีความสุขตามไปด้วย..

ลูกสาวก็เคยเล่าเรื่องการเรียนให้ฟัง..ประสบการณ์คล้ายกันค่ะ..คือเค้าเข้าร่วมแข่งขันทักษะภาษาอังกฤษ..ระดับประถมศึกษา ในละแวกอำเภอเดียวกัน(แข่งเป็นทีมโรงเรียน)..ตอนเย็นกลับมาบอกแม่ว่า.."ทีมโรงเรียนหนูได้ที่ 4 นะแม่..เราก็ถามต่อว่า.."แล้วมีกี่ทีมล่ะที่เข้าร่วมแข่งกัน" ลูกตอบ " 4 ทีม ค่ะแม่" แม่ขำกลิ้งเลยค่ะ..งานนี้..คือไม่ได้ซีเรียสอะไรค่ะ..คาดหวังเพียงให้เค้าอยู่สังคมได้ดี..มีความสุข..ตามสมควร

เป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นครอบครัวที่น่ารัก และเป็นสิ่งที่น่าเอาเป็นแบบอย่างคะ

คุณหมอติ่ง

ดีใจที่ได้ทราบความก้าวหน้าของหมอและดีใจที่ได้อ่านเรื่องราวดีๆของหมออีกเช่นกัน  ได้มีโอกาสพบและถ่ายรูปกับหมอที่รพ  แพร่ เมื่อหมอมาบรรยายพิเศษเรื่องHA  หวังว่าคงได้อ่านเรื่องราวที่มีสาระหลายๆ  เรื่องจากหมออีกค่ะ

ขอบคุณคุณPimwalaun น้องนกและคุณท้องฟ้า ที่เข้ามาอ่านและร่วมแลกเปลี่ยนครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท