เรื่องเล่าในอดีต


ไทยใหญ่ หรือ เงี้ยว

ตอนเป็นเด็กใครเรียกผมว่า "เงี้ยว"ผมจะโกรธมาก หรืออาจต่อยเลยถ้าคะเนดูว่ารูปร่างไม่ใหญ่จนเกินไป ไม่ชอบคำนี้เพราะว่าเพื่อนมักต่อท้ายว่า "ไอ้เงี้ยวกบฏ" เนื่องจากผมมีเชื้อสายชาวไทยใหญ่ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณพ่อเข้ามาเมืองไทยตั้งแต่สมัยปลายรัชกาลที่5 มาพึ่งพระโพธิสมภารจนเป็นชาวไทยกันหมดทุกคน ผมอ่านพบบันทึกจดหมายเหตุ เมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองเหนือของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดังนี้

เมื่อวันที่ 25 กรกฏาคม 2445 พวกเงี้ยวซึ่งอพยพมาจากมณฑลเสฉวนประเทศจีนตอนใต้ ประมาณ 40 คนจากบ้านบ่อแก้ว แขวงเมืองลอง จังหวัดแพร่ มีผู้นำชื่อ สล่าโป่ไชย ลาปู่โอ และจองแข่ เป็นหัวหน้า และอีกพวกหนึ่งเป็นเงี้ยวจากชาวบ้านป่าผึ้ง แขวงสูงเม่นจำนวนหนึ่งมีพะก่าหม่องเป็นหัวหน้า สมทบจากเงี้ยวเมืองเชียงใหม่ เชียงราย และเมืองลำปาง รวมเบ็ดเสร็จประมาณ 500 คน ก่อการกบฏได้จู่โจมยึดสถานที่สำคัญๆของเมืองแพร่ เช่น โรงพักพลตำรวจภูธร โรงไปรษณีโทรเลข บ้านข้าหลวงที่ว่าการเมืองแพร่ ศาลเมืองแพร่และคุก นอกจากนั้นยังได้แยกเป็นหมู่ๆก่อการจราจลทำร้ายประชาชน และปล้นบ้านคนไทย จับคนไทยไปประหารจนเดือดร้อนไปทั่ว ในขณะที่เจ้าพิริยะเทพวงษ์เจ้าครองนครแพร่และพระยาไชยบูรณ์ข้าหลวงเมืองแพร่ ได้รวบรวมกำลังเข้าต่อสู้ แต่ก็ไม่สามารถต่อกรได้เลย เงี้ยวได้จับตัวพระยาไชยบูรณ์ไว้และสังหารในที่สุด และยังยกกำลังเข้าปล้นเมืองลำปาง รวมทั้งยกกำลังมาสกัดกองทัพไทยบริเวณเขาพลึง จนกระทั่งทราบถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พลโทเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แม่ทัพใหญ่มีอำนาจเด็ดขาด ยกกำลังเป็นทัพหลวงจากกรุงเทพฯและจากราชบุรี สมทบกับทหารจากเมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสุโขทัย และเมืองตาก จำนวน 6 กองพัน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2445เดินทางไปปราบกบฏเงี้ยวที่กำลังยึดเมืองแพร่ไว้ในความปกครอง โดยสามารถยึดคืนมได้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2445

ในที่สุดพวกเงี้ยวก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ล่าถอยทิ้งเมืองแพร่หนีไปทางเมืองสอง สะเอียบ เชียงคำและเชียงของ ประมาณ 1 เดือนเศษที่ทหารไทยสามารถปราบกบฏเงี้ยวลงอย่างราบคาบ

ผลจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก่อให้เกิดเรื่องเล่าขานตามมาหลายประการ เช่น สิ้นสูญตระกูลเจ้าผู้ครองเมืองแพร่ เนื่องจากเกรงกลัวความผิดแล้วหนีไปเมืองหลวงพระบางจนหายสาบสูญไป จึงไม่ปรากฏนามสกุล "ณ แพร่"ให้พวกเราได้รู้จัก นอกจากนี้ยังเป็นต้นเหตุให้มี"กองทัพภาคที่ 3"ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ผมมาคิดว่าเป็นความผิดของพวกผมด้วยหรือเปล่าที่เกิดมาเป็นชาวไทยใหญ่ในแม่ฮ่องสอน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาวไทยใหญ่กลุ่มนั้นเลย ทำไมต้องกล่าวหากันเช่นนั้น ทำให้ผิดพ้องหมองใจกันเปล่าๆเพราะอย่างไรเสีย พวกผมก็คือคนไทยและรักเมืองไทยไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่นเช่นกัน

สมัยนั้นเมื่อถูกล้อจะคิดเช่นนี้ หากแต่ปัจจุบันเมื่อเป็นผู้ใหญ่มีความคิดที่กว้างไกลขึ้น ก็ทำให้คิดเหมือนกันว่า "ทำไมต้องเอาชื่อเสียงของคนทั้งชาติมาทิ้งเป็นตำนานไว้ที่เมืองแพร่ มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับคนรุ่นหลัง"

ลุงเก

หมายเลขบันทึก: 127787เขียนเมื่อ 13 กันยายน 2007 16:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 21:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

ขอขอบคุณอาจารย์เก...

  • เร็วๆ นี้ผมไปร่วมประชุม km เชียงใหม่ > ได้ยินว่า พี่น้องไทยใหญ่เข้ามาเรียนหนังสือที่แม่ฮ่องสอนกันมาก
  • เรื่องนี้น่าดีใจที่คนไทยได้มาพบกัน เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนอะไรๆ กัน

อดีตเป็นเรื่องอดีต...

  • การให้อภัย และการให้เกียรติกันเพื่อมิตรภาพระยะยาวเป็นเรื่องสำคัญกว่าครับ

ขอบคุณนพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ เป็นอย่างสูง ใช่ครับปัจจุบันมีชาวไทยใหญ่ในรัฐฉาน หนีภัยแผน 4 ตัดของพม่าเข้ามาเมืองไทยเป็นจำนวนมาก จากประชากรทั้งหมดประมาณ 8 ล้านคน คงเหลือในรัฐฉานไม่ถึง 3 ล้านคน เพราะถูกกดขี่ข่มเหงจากพม่าสารพัด ท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ใบอนุญาตข่มขืน" นั่นก็เป็นแผน 1 ตัดของพม่า เอาละอย่างไรเสียก็เป็นเรื่องภายในของพม่า แต่ประเทศไทยได้รับผลกระทบค่อนข้างสูง ผู้อพยพส่วนหนึ่งตกค้างอยู่ตามแนวชายแดน ส่วนหนึ่งเข้ามาทำมาหากินปะปนอยู่กับคนในพื้นที่ เช่นที่แม่ฮ่องสอน บางส่วนก็ไปทำมาหากินตามเมืองหลวง คาดคะเนว่าน่าจะมีประมาณ 2 ล้านคน คนเหล่านี้มีลูกหลานเข้าโรงเรียนเป็นจำนวนมาก เขาเหล่านั้นได้รับการหล่อหลอมให้เป็นคนไทย รักประเทศไทย เหมือนดังที่พวกผมเคยได้รับมาก่อน บางส่วนก็มาเกิดในประเทศไทย ได้รับสัญชาติไทยตามกฏหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์สำหรับคนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติย่อมมีการเปลี่ยนแปลงการกาลเวลา เมื่อนึกย้อนอดีตบรรพบุรุษของคนไทยก็อพยพมาจากอาณาจักรน่านเจ้าเช่นกัน ขออย่าได้รังเกียจเดียจฉันท์กัน เพราะอย่างน้อยพวกเราก็เป็นชนกลุ่มไต (ไท) เหมือนกัน

ใหม่ สุง ค่า อาจ๋าน

สวัสดีครับ อาจารณ์ เก ผมเองก็เป็น ไต ครับ

ผมอยู่ที่ บ้านในสอย เรียนประถม ที่โรงเรียนบ้านในสอยครับ

ผมเคยได้ยิน อาจารณ์ จัดรายการวิทยุบ่อยครับ นานทีผมถึงจะกลับแม่ฮ่องสอน

ตอนี้มาทำงานที่ เชียงใหม่ครับ.

ผมเองก็เช่นกันครับ เวลาเรียนหนังสือที่โรงเรียน มักถูกเพื่อน ล้อบ่ายครั้ง ว่า ไตนอก หรือ คนนอก ประมานนี้

ผมไม่โกรธเขานะ อายเฉยๆ แต่ตอนนี้ไม่อายแล้วครับ ตรงกันข้าม เวลาคนพูดถึง ไต หรือ ไทยใหญ่ กลับชอบด้วยซ้ำ

อืม อาจารณ์ เกี่ยวกับ เงี๊ยวกบฏที่เมืองเเพร่นั้น ผมพอได้อ่านมาบ้างนะครับ

จริงเท็จอย่างไรผมไม่ทราบ ((เพราะประวัติศาตร มันต้องฟังหูใว้หู)) อืม... เงี๊ยวที่ก่อ กบฏที่เมืองแพร่นั้น น่าเห็นใจครับ

แล้วก็หน้าสงสารมากกว่านะครับ อจารณ์ รวมไปถึงเจ้าเมืองแพร่ ......

อาจารณ์ว่างๆช่วยเมล์หาผมทีนะครับ

ขอบคุณครับ ใหม่สุง ค่า สวัสดีครับ

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

คำบอกของลุงรัตน์ วังซ้าย

"ท่านเป็นคนทันสมัย ท่านอยากพัฒนาเมืองแพร่ให้เจริญ ตอนแรกท่านไม่รู้หนังสือภาษาไทย เขียนได้แต่ภาษาพื้นเมือง แต่ท่านคุ้นเคยใกล้ชิดกับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ท่านก็พาเจ้าหลวงไปเรียนภาษาไทยที่พระนคร เรียนรู้ระบบการปกครองแบบใหม่จนท่านเห็นดีงาม สมัยนั้นรัชกาลที่ 5 เริ่มเปลี่ยนการปกครองเป็นแบบเทศาภิบาล เลิกระบบเจ้าหลวง มีแต่ข้าหลวงไปทำงาน เจ้าหลวงท่านเต็มใจทำตามรับสั่งนี้ ยอมสละยศ ตำแหน่งทุกอย่างเพื่อความเจริญของบ้านเมือง"

"เรื่องกบฏเงี้ยวเกิดเพราะอังกฤษกับฝรั่งเศสต้องการเฉือนแผ่นดินสยาม อังกฤษเฉือนภาคใต้กับอีสาน แล้วสมคบจะมาเอาทางเหนือจากเชียงรายไปสุดเขตแดนพม่า ภาคอีสานก็ข้ามโขงมาสมคบตั้งกองบัญชาการที่หลวงพระบาง สองชาตินี้หาเรื่อง ใช้วิธีหมาป่ากับลูกแกะ"

"หลังเจ้าหลวงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัชกาลที่ 5 ก็ส่งเจ้าหน้าที่จากบางกอก คือพระยาไชยบูรณ์ ในนามข้าหลวงประจำจังหวัดมาฝึกงานให้ แล้วในปีหนึ่งๆ จะมีการตรวจเงินแผ่นดิน วันหนึ่งปรากฏว่าเขาเปิดประตูเซฟบนศาลากลางจังหวัดปรากฏว่าเงินขาดไป 55,000 บาท คนตรวจก็สั่งอายัดตัวเจ้าหลวงไปขัง เป็นเหตุให้อังกฤษเห็นเป็นช่องทางจะมาบังคับเรา ตอนหลังลูกหลานก็หาเงินมาใช้ให้ เจ้าหลวงจึงถูกปล่อยตัว คนแพร่โกรธกันมากเพราะเป็นการลงโทษโดยไม่ฟังความใดๆ"

"อังกฤษเอาปมนี้เป็นเหตุทำให้คนแตกสามัคคี เพราะคนเมืองแพร่ทั้งหมดเกลียดคนกรุงเทพฯ อังกฤษส่งเงี้ยวชื่อพะกาหม่องมาเกลี้ยกล่อมเจ้าหลวงว่าท่านโดนรังแก อังกฤษจะช่วยยึดแผ่นดินคืนให้ จะให้เงี้ยวมาก่อการกบฏ สมัยนั้นเงี้ยวอยู่ในความปกครองของอังกฤษ เพราะเป็นลูกจ้างทำไม้ให้ มีการตกลงกันว่าจะไม่ให้เจ้าหลวงเดือดร้อน เสบียง อาวุธจะหามาเองทั้งหมด แผนของอังกฤษคือจะให้เราฆ่าเงี้ยวแล้วเรียกค่าเสียหาย"

"แต่เจ้าหลวงรายงานให้รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ ท่านก็เรียกเจ้าหลวงไปพบ แล้วท่านก็สั่งเจ้าหลวงให้ยอมรับเงื่อนไขของอังกฤษ เป็นแผนซ้อนแผน บอกให้เจ้าหลวงยอมเป็นกบฏ เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างปราบเงี้ยว เพราะถ้าไม่ยอมรับเป็นกบฏก็ไม่มีเหตุปราบ"

"พอตกลงกันดีแล้ว เจ้าหลวงกลับมาบอกอังกฤษขอเวลาสามเดือน อ้างว่าจะต้องตรวจสอบกำลัง ที่จริงก็เพื่อในหลวงจะได้เตรียมจัดกำลังสำรอง"

"ข้อตกลงร่วมกันในการก่อกบฏ อังกฤษมีข้อแม้ว่าจะไม่ทำอันตรายชีวิตและทรัพย์สินของคนเมือง จะทำเฉพาะคนไทยจากเมืองใต้ เจ้าหลวงเสนอกลับไปว่าตกลง แต่เพิ่มอีกข้อว่าห้ามฆ่าผู้หญิงกับเด็กไทยที่มาฝึกงาน ห้ามฆ่าตำรวจ ก่อนเงี้ยวปล้น คืนนั้นไม่ได้นอนกันทั้งคืน เพราะเตรียมรับมือ เจ้าหลวงก็วางแผนจัดกำลังไปซ่อนในป่า แล้วรัชกาลที่ 5 ท่านบอกให้จัดคนที่ไว้ใจได้ประมาณ 5-6 คนมาร่วมงาน ให้ปิดเป็นความลับ หากความลับรั่วไหล เหตุจะอ้างว่าปราบเงี้ยวเพราะเป็นกบฏจะไม่เป็นผล"

"เจ้าหลวงท่านรับเป็นกบฏ แต่รัชกาลที่ 5 ไม่ค่อยไว้ใจ ท่านให้เจ้าหลวงดื่มน้ำสาบานว่าไม่คิดคดทรยศ และให้นำน้ำสาบานนี้ติดตัวมาเมืองแพร่ด้วย ให้ทุกคนที่รู้เรื่องร่วมดื่ม แล้วกำชับว่าถ้าหากคนเหล่านี้ถูกจับไปข่มขู่ถึงตายก็ให้ยอมตาย ถ้าไม่ทำตามนี้หรือไปบอกใครขอให้ตายด้วยคมหอกคมดาบคมเขี้ยวคมงา"

"เจ้าหลวงรับคำมาปรึกษากับเจ้าราชบุตร หรือบุตรเขยของท่าน ตกลงกันว่าจะเอาเจ้าวังซ้ายมาร่วมงานด้วย เรียกเจ้าวังซ้ายมาบอกว่าถ้าจะร่วมงานต้องกินน้ำสาบาน ถึงตอนนี้มีคนรู้แผนนี้ 6 คน ที่กรุงเทพฯ มี 3 คน คือ รัชกาลที่ 5 กรมดำรงราชานุภาพ และกรมหมื่นพิชิตปรีชากร ที่แพร่มี 3 คน คือ เจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์ เจ้าราชบุตร ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช เจ้าเมืองน่าน และเจ้าวังซ้าย

"อังกฤษบอกให้เจ้าหลวงอยู่เฉยๆ ไม่เอาอาวุธด้วย แต่ขอกำลังคนเมืองแพร่ เจ้าหลวงเลยหารือว่าให้เอาชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธไปซ่อนในป่า ป้องกันไม่ให้เงี้ยวมาขอกำลังเสริม ท่านก็หารือกันว่าต้องมีคนคุมกำลังในป่า เจ้าวังซ้ายเสนอชื่อไปว่ามีสองคนคือไม่ลูกก็เมีย ในที่สุดท่านเลือกลูก คือเจ้าน้อยหมวกมาคุมกำลังรบ เจ้าน้อยหมวกนี้คือพ่อของผมเอง ท่านก็เรียกเจ้าน้อยหมวกไปดื่มน้ำสาบาน"

"เจ้าน้อยหมวกคิดเรื่องคนดูแลเสบียง เลยเลือกเมียคือเจ้าแสงแก้ว ก็กลับมาบอกสามคนแรกว่าได้ปรึกษาเมียแล้ว เขายอม ทางนี้จะยอมไหม เลยเรียกเจ้าแสงแก้วมาดื่มน้ำสาบานอีกที ตอนนี้มีคนรู้ความลับทั้งหมด 8 คน"

"แต่การบอกเมียถือเป็นการเปิดเผยความลับแม้จะไม่ตั้งใจ พ่อผมเลยโดนอาถรรพณ์เป็นคนแรก คือพอแม่คลอดผมได้เพียง 8 เดือนพ่อก็ถูกช้างเหยียบตาย ทั้งที่พ่อเป็นผู้เชี่ยวชาญการจับช้างตกมัน พ่อยังบอกว่ากลัวควายมากกว่าช้าง"

"เจ้าแสงแก้วรวบรวมลูกเมียข้าราชการไทยมาไว้ที่คุ้มของเจ้าวังซ้าย ซ่อนไว้บนเพดาน คืนนั้นก็เกณฑ์คนกับอาวุธมาเก็บไว้ในคุ้ม ป้องกันไม่ให้ทั้งสู้เงี้ยวและสู้ไทย ประมาณตีสองตีสาม เจ้าแสงแก้วจัดคนไปบ้านข้าราชการไทย เอาผู้หญิงที่เคยรับใช้บ้านข้าราชการมาเพื่อให้คนไทยเมืองใต้ไว้ใจ แต่มีจำนวนหนึ่งไม่มาเพราะพวกนี้ไม่ค่อยชอบเจ้าหลวง พวกที่มาก็เป็นห่วงสามียอมตายด้วยกัน"

"พอเงี้ยวปล้นโรงพัก ปล้นไปรษณีย์ ยึดศาลากลางจังหวัด ก็ยึดได้สบายเพราะไม่มีการต่อต้าน พวกเงี้ยวออกสำรวจทุกบ้านว่ามีคนไทยเท่าไร จะจับมาฆ่าให้หมด"

"จนไปถึงบ้านเจ้าวังซ้าย ซึ่งเจ้าแสงแก้วกำลังทำกับข้าวให้คนไทยที่หลบซ่อนตัวอยู่ มันก็ถามว่าทำให้ใครกินมากมาย แม่ผมบอกว่าตอนแรกก็ตกใจ แต่ทำใจดีสู้เสือเพราะมันจะขอค้นว่ามีคนไทยไหม แม่บอกค้นไม่ได้ เจ้าหลวงกับเจ้าวังซ้ายสั่งห้ามค้น แล้วแม่ก็พูดไปว่าทำอาหารให้พวกสูกินนั่นล่ะ เจ้าหลวงให้ทำ ถ้าพวกสูเสร็จธุระให้ไปรอที่ศาลากลางเดี๋ยวเอาไปให้ แล้วแม่ก็เรียกกำลังออกมา แกล้งพูดว่าจะเลี้ยงอาหารแล้วมันยังมาข่มขู่ ถ้าจะค้นบ้านก็ให้จัดการสู้กัน เงี้ยวฟังแล้วจึงยอมไป เจ้าแสงแก้วรีบส่งคนไปบอกเจ้าหลวง ท่านบอกให้ทำอาหารเพิ่มแล้วเอาไปเลี้ยงมันอย่างที่บอก"

"ในเอกสารจดหมายเหตุที่ว่ามีการส่งเสบียงให้พวกเงี้ยว สาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างนี้"

"ปรากฏว่าพวกเงี้ยวฆ่าผู้หญิงกับเด็กคนไทยที่ไม่ได้มาอยู่กับเรา เจ้าหลวงโกรธมาก เรียกหัวหน้าเงี้ยวมาคุย ชื่อพะกาหม่อง มาบอกว่าผิดสัญญา ท่านก็มีกำลังอยู่นะ พะกาหม่องขอโทษขอโพย พอรู้ว่าเจ้าหลวงพูดว่ามีกำลังก็เริ่มกลัว มันเลยเรียกเจ้าหลวง กับเจ้าวังซ้ายไปทำสัญญาร่วมรบกัน บอกเจ้าหลวงว่าถ้าเราทำตามที่ตกลงก็จะไม่มีอะไร แต่ถ้าเจ้าหลวงเอากำลังมาสู้เมื่อไร เงี้ยวจะเอาสัญญานี้ไปแฉให้รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ ซึ่งเจ้าหลวงได้บอกกับรัชกาลที่ 5 ว่าเงี้ยวบังคับทำ จำเป็นต้องทำ รัชกาลที่ 5 ก็รู้"

"หลายวันต่อมากรุงเทพฯ ส่งกำลังมาปราบกบฏ โดยที่ได้เตรียมกำลังแถวอุตรดิตถ์ พิษณุโลกไว้แล้ว จึงปราบได้ภายใน 3-4 วัน"

"รัชกาลที่ 5 เอาประกาศนียบัตรกบฏของเจ้าหลวงไปอ้างกับอังกฤษ ตามกฎแล้วผู้เป็นกบฏต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร แต่มีการช่วยเหลือทางลับ คือรัชกาลที่ 5 สั่งแม่ทัพว่าห้ามตั้งข้อหากับเจ้าหลวงและลูกหลานว่าเป็นกบฏแต่ไม่บอกเหตุผล ท่านยังกำชับว่าการพิจารณาโทษกบฏต้องส่งเรื่องให้ท่านสั่งการเอง แล้วท่านยังให้นำลูกหลานของเจ้าหลวงไปเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ในบรรดานี้มีคนสกุลศรุตานนท์ด้วย"

"ในสัญญาที่อังกฤษทำกับเจ้าหลวงระบุว่าถ้าทำการกบฏไม่สำเร็จจะพาเจ้าหลวงหนีไปที่กองบัญชาการใหญ่ของเงี้ยวที่หลวงพระบางเมืองลาว ถ้าเจ้าหลวงไม่ยอมเป็นกบฏก็คงได้ตำแหน่งนายพลเพราะว่าตอนหลังเจ้าหลวงทางตอนเหนือได้เป็นนายพลกันหมดทุกคน"

"รัชกาลที่ 5 ตอบแทนเจ้าหลวงในทางลับ นอกจากนี้ท่านยังเลี่ยงอาญาให้คนคุมตัวเจ้าหลวงไปส่งนอกประเทศ คือหลวงพระบาง ซึ่งนี่ก็เป็นแผนอีกข้อหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ต้องการให้เจ้าราชบุตรผูกสัมพันธ์กับเงี้ยว เพื่อเป็นตัวกลางสื่อสารระหว่างเจ้าหลวงกับรัชกาลที่ 5 ท่านให้เจ้าราชบุตรเอาเงินเดือนไปจ่ายให้เจ้าหลวงทุกเดือน แต่เป็นในนามว่าเจ้าราชบุตรเอาเงินไปให้พ่อตาใช้"

"อยู่ทางโน้นเจ้าหลวงก็ทำบันทึกใส่สมองเจ้าราชบุตรกลับมารายงานรัชกาลที่ 5 เพราะรัชกาลที่ 5 กำชับว่าอย่าบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เจ้าหลวงคอยรายงานแผนการของเงี้ยวที่จะพยายามไปเกลี้ยกล่อมเจ้าหลวงล้านนาอื่นๆ พอรู้ข่าวก่อนว่าจะไปจังหวัดไหนก็เตรียมการรับทัน ทำให้ไม่มีเหตุการณ์เงี้ยวกบฏได้สำเร็จ และเจ้าหลวงจังหวัดอื่นๆ ก็ได้เป็นนายพล"

"ผมยังมีหลักฐานบันทึกของพันตำรวจเอกชาวฝรั่งชื่อ พ.ต.อ.พระแผลงสะท้าน หรือ C.N Springer เขาแปลกใจว่าทำไมเห็นเจ้าหลวงเดินจากคุ้มหนีออกไปทางประตูศรีชุมคนเดียว บันทึกนี้ลูกของตำรวจฝรั่งผู้นี้เอามาให้ผม เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนป่าไม้ ชื่อ อ.เทิด สุขปรีชากร"

"ตัวผมเองยังมีปืนสำคัญ 2 กระบอกที่ ร.ต.ตาด กับภรรยาคือนางคำใช้ยิงต่อสู้กับพวกเงี้ยวจนตัวตาย เดี๋ยวนี้ทางจังหวัดก็ทำประตูตาดคำเป็นอนุสรณ์ให้ท่าน ปืนนี้เป็นมรดกตกทอดมาถึงผม และผมก็ได้ส่งมอบให้กับผู้ว่าฯ เพราะทราบมาว่าท่านมีโครงการบูรณะคุ้มเจ้าหลวงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ ผมจึงอยากมอบเป็นสมบัติของส่วนรวม"

"เรื่องปืนนี่ก็มีที่มาเบื้องลึก เพราะเจ้าหลวงท่านขอให้ไม่ฆ่าตำรวจ แต่ท่านรู้นิสัยของ ร.ต.ตาด ว่าจะไม่ยอมหนี ปืนยาวนี้เจ้าหลวงมอบให้เจ้าวังซ้าย แล้วเจ้าวังซ้ายทำทีมามอบให้ ร.ต.ตาด ไว้ป้องกันตัว แต่จะบอกตรงๆ ไม่ได้ เลยบอกว่าปืนเสียให้ ร.ต.ตาด ช่วยซ่อมและให้ทดลองยิงดูจนแน่ใจว่าใช้การได้แล้ว คือให้กระสุนมาอีกเป็นย่ามๆ ร.ต.ตาด ก็ได้ใช้ปืนยาวนี้สู้เงี้ยว แล้วเอาปืนสั้นของตัวเองให้นางคำไว้ป้องกันตัว ในที่สุดเงี้ยวยิงถูก ร.ต.ตาด ตาย นางคำวิ่งหนีก็ถูกเงี้ยวไล่เอาดาบฟันตาย"

"ตามเอกสารจดหมายเหตุบอกว่าพระยาไชยบูรณ์ที่เป็นข้าหลวงวิ่งไปหาเจ้าหลวงให้ช่วย แต่เจ้าหลวงช่วยไม่ได้ ความจริงก็คือเจ้าหลวงส่งตัวลงเรือไปฝากไว้ที่บ้านกำนันบ้านร่องกาศ กลางคืนนอนบนบ้าน กลางวันลงไปซ่อนในป่า จนเงี้ยวประกาศล่าตัวให้ค่าหัว 40 บาท นายวงศ์ คนบ้านร่องกาศไปพบโดยบังเอิญเลยแจ้งพวกเงี้ยว พระยาไชยบูรณ์เลยถูกจับตัวไปตัดหัวที่บ้านร่องคาว"

"ปีที่แล้ว ครบรอบเหตุการณ์ 100 ปี ผู้ว่าฯ จังหวัดแพร่ขณะนั้นคือ ท่านอนุกูล คุณาวงศ์ บอกลูกหลานสร้างอนุสาวรีย์ให้เจ้าหลวงที่หน้าคุ้มของท่าน ซึ่งเป็นจวนผู้ว่าฯ ต่อๆ มา ท่านอยากให้ทำสำเร็จก่อนท่านเกษียณ ปัจจุบันท่านเป็นประธาน กกต.แพร่ เราก็ไปปรึกษากับคุณปลอดประสพ สุรัสวดี เนื่องจากคุณย่าของภรรยาคุณปลอดประสพเป็นลูกสาวของเจ้าอยู่คำ ธิดาของเจ้าหลวง"

"อนุสาวรีย์นี้สร้างเสร็จปีที่แล้ว นักวิชาการบางคนก็ค่อนขอดว่ามาทำอนุสาวรีย์ให้กบฏทำไม"

"ผมคิดว่าการที่เจ้าหลวงเสียสละแต่ถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏมันเป็นมลทิน ทุกวันนี้ลูกหลานเจ้าหลวงพิริยเทพวงศ์เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของเมืองแพร่ใช้สกุลเทพวงศ์ ส่วนลูกหลานเจ้าวังซ้ายใช้สกุลวังซ้าย ภรรยาเจ้าวังซ้ายเป็นลูกหลานของเจ้าหลวง ผมก็ใช้สกุลวังซ้าย ตระกูลนี้ต้นรากแล้วมาจากเชียงแสน ส่วนแม่ผมเป็นหลานของเจ้าวังขวา"

.............................................................................

ลุงรัตน์ วังซ้าย เกิดเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2468 หลังเหตุการณ์ปราบกบฏเงี้ยว 23 ปี ครั้นอายุประมาณ 30 ปีเศษ เจ้าแสงแก้วผู้มารดาได้บอกความลับนี้แก่บุตรชาย

"ตอนนั้นแม่อายุ 77 ย่าง 78 ปี แม่บอกว่าอย่าบอกใครเพราะกลัวจะโดนอาถรรพณ์เหมือนพ่อ แม่เล่าให้ผมฟังคนเดียว แม่กลัวเรื่องนี้จะตายไปกับตัวแม่ แม่บอกได้ไม่นานก็เป็นความดันสูง พอรักษาตัวก็พบว่าเป็นมะเร็งปอด แม่ทรมานอยู่ปีกว่าๆ ก็จากไป"

น่าประหลาดใจว่าลุงรัตน์ตัดสินใจเปิดเผยความลับในขณะที่อายุ 77 ย่าง 78 ปี เท่ากับอายุของมารดาเมื่อครั้งบอกเรื่องนี้

ข้อเท็จจริงด้านหนึ่งจากคนในท้องถิ่นโดยปราศจากหลักฐานบันทึก อาจเป็นสิ่งไม่น่าเชื่อถือสำหรับนักประวัติศาสตร์กระแสหลัก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ กรณีนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการเขียนประวัติศาสตร์นิพนธ์ในอนาคต

นั่นคือถึงเวลาแล้วที่ต้องคืนประวัติศาสตร์ให้คนท้องถิ่น

อุทิศถวายแด่เจ้าหลวงองค์หนึ่งผู้นามว่า เจ้าพิริยะเทพวงศ์ ที่ต้องซัดเซพเนจร ไปอยู่ถึงประเทศลาว แม้อัฐิเพียงชิ้น เดียวก็ยังไม่เหลือให้ชาวแพร่ได้ระลึก

หากต้องทำเพื่อชาติแม้ต้องถูกประวัติศาสตร์จารึกชื่อในฐานะคนชั่วก็ขอรับเอาใว้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน

เราคนรุ่นหลังน้อมคารวะผู้ยอมสละทุกอย่างเพื่อแผ่นดิน

คุณจายครับ

ขอบคุณและซาบซึ้งมาก ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมีค่าต่อลูกหลาน ประวัติศาสตร์ของชาติบางครั้งบางเหตุการณ์ก็บิดเบือน ผมเห็นด้วยในการเผยแพร่ หรือเปิดเผยความจริงในเรื่องนี้ แต่ให้ระวังคำสาป เพราะผมเชื่อว่าคำสาปเป็นจริง นักประวัติศาสตร์เขาไม่เชื่อหลักฐานจากการบอกเล่าหรอกครับ มันเป็นหลักฐานชั้นรอง ไม่ใช่หลักฐานชั้นต้น แต่คนในท้องถิ่น ชุมชน เขาเชื่อ ผมยินดีที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการลบรอยบาปในครั้งนี้ เพราะผมเชื่อว่า การทำร้ายทำลายคนอื่นไม่ใช่วิถีไต (เงี้ยว) เนื่องจากเป็นชาติพันธุ์ที่รักสงบ ผมเอาเกียรติเป็นประกัน นอกจากได้รับการยุยงส่งเสริมจากผู้อื่น

เรื่องนี้มันสลับซับซ้อนมาก น่าจะมีการวิจัยเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้นะครับ ขอกราบค่รวะคุณลุงรัตน์ วังซ้าย เลือดเนื้อเชื้อไขของอดีตเจ้าเมืองแพร่

อาจารย์เก

รู้สึกว่าได้เกิดมามีความโชคดีเพราะได้รับโอกาสแบ่งปันความรู้จากผู้คนทุกช่วงวัย เพราะ ต้อมชอบอ่าน เพื่อรวบรวมศึกษาหาความรู้มาเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ มาคิดวิเคราะห์ ด้วยความรู้ที่เก็บสะสมที่ละเล็กที่ละน้อย จนเกิดความตระหนักถึงความรู้สึกของคนว่าย่อมมีมากมาย หากเมื่อเรามาอยู่ร่วมกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันหาแนวทางที่ร่วมกันอย่างชัดเจน เข้าใจความหมายของงานเช่นเดียวกัน การเดินทางสายนั้นจะสร้างเสริมกัน แต่หาได้ไม่ง่ายนักใช่ไหมคะเพราะทำงานก็เพื่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เกิดการคิด ต่อ เนื่องแบ่งปันกัน

อยากจะพัก ขอบคุณคะ ด้วยความเคารพ

ใช่ครับ เรียนรู้ คิด เชื่อมโยง แล้ว แบ่งปัน เป็นการจัดการความรู้อีกรูปแบบหนึ่งครับ อาจารย์เก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท