ก่อนที่จะเข้าเรื่อง
ขอเล่าบรรยากาศในงานแต่งงานของเพื่อนให้ฟังก่อนค่ะ
งานจัดได้ดีมากค่ะ กว่าผู้วิจัยจะไปถึงก็ 2 ทุ่มแล้ว
ที่ไปช้าอย่างนี้เป็นความตั้งใจนะคะ เพราะ
ถ้าไปถึงงานตั้งแต่หัววันก็ไม่รู้ว่าจะไปนั่งโต๊ะไหน
กับใคร เนื่องจากเท่าที่ทราบจะมีเพื่อนที่รู้จักกันไปแค่ 2-3
คน รูปถ่ายที่จัดโชว์บริเวณงานสวยมาก
ดูเป็นธรรมชาติ และสื่อให้เห็นความรักของคนทั้งสอง
ส่วนบรรยากาศในงานพิธีนั้นผู้วิจัยรู้สึกว่าค่อนข้างใช้เวลานานกว่างานอื่นๆที่เคยไป
อาจเป็นเพราะ เป็นงานของตำรวจก็เลยมีหลายกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นมา
เช่น ลอดซุ้มกระบี่ เป็นต้น
แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับงานอื่นๆซึ่งผู้วิจัยขอยอมรับตรงๆเลยว่ารู้สึกไม่ชอบเลยก็คือ
เมื่อเริ่มเข้าสู่พิธีการ
ขณะที่ประธานหรือแม้แต่คู่บ่าวสาวกล่าวบนเวที
ผู้ที่มาร่วมงานจะคุยกันเสียงดังมาก
ผู้วิจัยนั่งอยู่ที่โต๊ะ
เชื่อไหมคะว่าแทบจะฟังคนที่พูดอยู่บนเวทีไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร
เป็นอย่างนี้ทุกงานเลยค่ะ
จนทำให้ผู้วิจัยรู้สึกว่าทำไมคนที่มาร่วมงานจึงไม่ให้เกียรติคู่บ่าวสาวเลย
(ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเป็นอาจารย์หรือเปล่า
ก็เลยไม่ชอบให้มีคนคุยเวลาที่สอนหรือมีคนอื่นพูด)
ไม่ทราบว่าในงานแต่งงานของคนชาติอื่นเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
แต่งานก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ กว่าผู้วิจัยจะกลับก็ 4
ทุ่มกว่าแล้วค่ะ กลับมาก็มานั่งทำงานต่อ จนกระทั่งตี 2
จึงได้เข้านอน
ตื่นเช้า (สาย) ขึ้นมา พอดีได้เปิดโทรทัศน์ไปที่ช่อง 11
เห็นขึ้นที่หน้าจอโทรทัศน์ว่า “สด”
ในจอเป็นภาพของท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี
นั่งอยู่ในวัด (จากการสังเกตค่ะ) บนเสื่อ
ข้างๆมีพัดลมเปิดอยู่
ส่วนข้างหน้าเป็นโต๊ะญี่ปุ่นวางเอกสารอยู่พอสมควร
และมีชาวบ้านนั่งตอบคำถามนายกฯ
โดยมีผู้ช่วยคอยถือไมล์ประกบชาวบ้านอยู่
พอเห็นภาพอย่างนี้ผู้วิจัยคิดออกเลยว่าสงสัยจะอยู่ที่
อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เพราะ
เมื่อวานได้เย็นข่าวผ่านหูว่านายกฯและคณะจะที่นั่น
ผู้วิจัยก็เลยนั่งดูซะหน่อยว่ากำลังทำอะไรกัน
ในที่สุดก็ถึงบางอ้อเมื่อมีตัวอักษรขึ้นที่หน้าโทรทัศน์ว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ
เมื่อเห็นอย่างนี้ผู้วิจัยก็เลยนั่งดูต่อ
ความจริงดูแรกๆก็เห็นว่าเข้าท่าดี เพราะ
นายกฯสั่งเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง
โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินนอกระบบ
ที่ผู้วิจัยเห็นว่าเข้าท่าดี เนื่องจาก
เห็นว่าถ้านายกฯสั่งรับรองว่าพวกเจ้าหนี้นอกระบบหัวหดแน่
รับรองว่าไม่กล้าหือ ชาวบ้านได้ร้องเฮแน่นอน
(เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการตัดสินใจและคำสั่งที่เด็ดขาด)
แต่พอฟังไปฟังมารู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ เพราะ
เห็นว่าชาวบ้านตอบคำถามไม่ทันนายกฯ นายกฯพูดอยู่คนเดียว
แถมพูดไทยคำ อังกฤษคำอีก ชาวบ้านจะรู้เรื่องไหมนี่
แถมนายกยังหันไปสั่งกระทรวง
ส่วนราชการต่างๆอีกว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้
คนที่รับคำสั่งได้แต่จด แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า
และถ้าเข้าใจจะเข้าใจผิดหรือถูกก็ไม่รู้
(ยังมีคำถามต่อเนื่องอีกเยอะแยะค่ะ ถ้า list
ออกมาสงสัยวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว)
พอดีมีคนที่นั่งดูโทรทัศน์กับผู้วิจัยคนหนึ่งถามขึ้นมาว่าในฐานะที่ผู้วิจัยเป็นอาจารย์เห็นว่าวิธีการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบนี้จะได้ผลไหม
ผู้วิจัยก็เลยตอบว่า
ขอตอบในฐานะที่ไม่ใช่อาจารย์แต่เป็นชาวบ้านคนหนึ่งก็แล้วกันนะคะว่า
คิดว่าไม่ได้ผล เพราะ
เท่าที่ฟังจากโทรทัศน์บอกว่ามีชาวบ้านมา 200 คน
แสดงว่าต้องมีการคัดเลือกคนมา
เนื่องจากทั้งอำเภอมีคนยากจนเยอะแยะจะมาแค่ 200 คนได้ยังไง
คนที่มาก็อยู่ในวัยแรงงานที่สูญเสียที่ดิน เป็นหนี้
ทำการเกษตรไม่ได้ผล แล้วคนกลุ่มอื่นๆล่ะ เช่น
คนชรา คนถูกทอดทิ้ง เด็ก คนด้อยโอกาส
เป็นต้น คนพวกนี้หายไปไหนหมด
(เท่าที่ดูไม่เห็นคนพวกนี้) แถมยังพูดไม่ทันนายกฯอีก
สิ่งที่นายกฯเห็นว่าเป็นปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหาของเขาก็ได้
และการที่นายกฯสั่งๆๆๆๆนั้น ถ้าคิดในแง่หนึ่งก็ดี
เพราะ ถ้านายกฯไม่สั่ง คน (ระบบ) ก็ไม่ทำงาน
แต่อีกแง่หนึ่ง
การสั่งอย่างนี้ก็จะไปซ้ำรอยเดิมของการพัฒนาที่ผ่านมา คือ Top
down ชาวบ้านไม่เกิดการเรียนรู้ ฐานไม่แน่น
ในที่สุดก็ล้ม การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่เกิด
ถ้าหากเสนอแนะได้ ผู้วิจัยอยากให้นายกฯศึกษาหลักคิดของ KM
แล้วนำไปใช้ก็จะดี
โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างฐานล่างให้แน่นโดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
(ไม่รู้ว่าใช่หลักคิดของ KM หรือเปล่า
แต่ผู้วิจัยคิดว่าใช่) ถึงแม้ว่าอาจไม่เห็นผลรวดเร็วทันใจ
แต่ผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน
และนายกฯคงไม่ต้องมานั่งเหนื่อยอย่างนี้
(ขอแสดงความคิดเห็นแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ เพราะ
ถ้ามากกว่านี้กลัวว่าจะกลายเป็นขาประจำไปอีกคน)
มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ
วันนี้ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องการขยายกลุ่มให้ฟังค่ะ
(ตามที่สัญญาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้) แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้
ขอแทรกเรื่องเก็บตกจากกลุ่มเถินก่อนนะคะ
เมื่อคืนนี้กลับมานั่งอ่านโน้ตและทบทวนความจำของตัวเอง
เห็นว่ายังมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าจากการไปที่กลุ่มเถินอีกประมาณ 2
ประเด็น
ก็เลยถือโอกาสแทรกเรื่องนี้ก่อนที่จะขึ้นต้นเรื่องใหม่ก็แล้วกันนะคะ
ประเด็นแรก
ตอนนี้กลุ่มบ้านดอนไชย
ได้นำเงินกองทุนสวัสดิการคนทำงานมาลงทุนเปิด
“ร้านค้าสวัสดิการชุมชนบ้านดอนไชย” ได้ 3-4 เดือนแล้วค่ะ
พี่นกบอกว่าได้กำไรเพิ่มขึ้นทุกเดือน
เดือนแรกได้กำไรหลักร้อยค่ะ ต่อมาก็เพิ่มเป็นหลักพัน
มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับคนทำงานด้วย
อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นกองกลางสำหรับเสริมสภาพคล่องและทำกิจกรรมต่างๆเพื่อสาธารณะ
มีการแบ่งเวรกันเฝ้าร้าน
ผู้วิจัยจำได้ว่าก่อนที่จะเดินทางกลับได้พบกับพี่…..
(ชื่ออะไรจำไม่ได้ค่ะ) ซึ่งเป็นคนพิการ
ได้รับสวัสดิการคนด้อยโอกาสแล้ว (ทางกลุ่มออมให้ทุกเดือน)
พี่นกบอกว่าพี่…. มาเข้าเวร
พี่เขาจะเข้าเวรในช่วงเย็นของทุกวัน
นอกจากนี้แล้วพี่นกยังบอกว่าตอนนี้กำลังพัฒนาโปรแกรมบัญชี
(คอมพิวเตอร์) ที่จะใช้กับร้านค้านี้ด้วย
โดยขณะนี้ได้รับการเสนอแนะจากพี่เบิ้ม (กลุ่มเกาะคา) ให้นำโปรแกรม SME
มาใช้ ซึ่งพี่เบิ้มเอาโปรแกรมและคำอธิบายต่างๆมาให้
พี่นกกำลังศึกษาอยู่
โดยพี่นกบอกว่าเท่าที่ศึกษามาเห็นว่าเป็นโปรแกรมที่ดีมาก
แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าจะนำมาใช้ได้แค่ไหน
ส่วนประเด็นที่สอง
พี่นกได้ฝากมาว่าอยากจะให้ทางเครือข่ายฯพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใช้ในการเก็บข้อมูลสมาชิก
(ตอนนี้มีแต่ของกลุ่ม) พี่นกให้ทัศนะในเรื่องนี้ว่า
นับวันเครือข่ายฯจะมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น
การทำบัญชีหรือเก็บข้อมูลด้วยมืออย่างเดียวไม่พอ
ทำให้ตรวจสอบข้อมูลสมาชิกยาก เสียเวลานาน
มีโอกาสผิดพลาด
ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการจะช่วยได้มาก
นอกจากนี้แล้วเครือข่ายฯยังต้องมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆเรื่อง
ไม่อย่างนั้นกลุ่มที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆอาจไม่อยากเข้ามาเป็นสมาชิกก็ได้
เรื่องเก็บตกก็คงมีอยู่แค่นี้ค่ะ (เท่าที่คิดออก)
เรามาคุยเรื่องการขยายกลุ่มดีกว่าค่ะ
ตอนนี้เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก 2 กลุ่มค่ะ (ยังไม่เป็นทางการ)
คือ กลุ่มบ้านศรีบุญเรือง นำโดยลุงมนุษย์
เดชะ กลุ่มนี้ตั้งอยู่ในเมือง
บริเวณชุมชนศรีบุญเรือง
คุณสามารถเดินทางไปขายความคิดหลายครั้ง
เนื่องจากกลุ่มนี้กำลังมีโครงการบ้านมั่นคงด้วยค่ะ
ซึ่งคุณสามารถดูแลอยู่ ก็เลยนำเรื่องการออมวันละ 1 บาท
เข้าไปด้วย เท่าที่ผู้วิจัยทราบตอนนี้ตั้งกลุ่มมาได้ 1
เดือนแล้ว แต่มีสมาชิกยังไม่ถึง 100 คน
(ความจริงถ้ามีสมาชิกไม่ถึง 100 คน ต้องเป็นสมาชิกสมทบค่ะ
แต่สำหรับกรณีนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร คงหารือกันในวันที่
22 มกราคม ซึ่งเป็นวันประชุมสัญจรค่ะ)
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่ม พระบาทวังตวง
อยู่ที่ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก
จังหวัดลำปางค่ะ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการตั้งกลุ่มใหม่ค่ะ
เพราะ กลุ่มนี้แยกมาจากกลุ่มแม่พริก จะขอเล่ารายละเอียด
(เท่าที่ทราบ) ให้ฟังนะคะว่า เดิมที่อำเภอแม่พริก
เครือข่ายฯมีสมาชิกอยู่ 1 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านแม่พริก
ประธานฯ คือ อ.ธวัช
ต่อมามีชาวบ้านจากตำบลพระบาทวังตวง
ซึ่งอยู่ติดๆกับเทศบาลตำบลแม่พริก
เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกด้วย
พอมีคนจากพระบาทวังตวงมาสมัครมากๆเข้า
อ.ธวัชก็เลยแนะนำว่าน่าจะตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมา
ตอนแรกก็ยังไม่มีใครเป็นแกนนำ เนื่องจาก
ติดปัญหาในเรื่องคณะกรรมการ คนทำงานที่หาไม่ได้ อ.ธวัช
ก็พยายามผลักดันอยู่เรื่อยๆ
ทางกลุ่มแม่พริกก็ได้ช่วยเหลือ
โดยตั้งคนของพระบาทวังตวงให้เข้ามาเป็นคณะกรรมการของกลุ่มแม่พริก
จะได้เรียนรู้งาน เวลาไปประชุมที่ไหนก็จะพาไปด้วย
จนคณะกรรมการมีความพร้อมจึงแยกออกมาตั้งกลุ่มใหม่
ดูเหมือนว่าจะเรียบร้อยและไม่มีปัญหาอะไร
แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาจนได้ว่าแล้วจะทำอย่างไรกับสมาชิกกลุ่มพระบาทวังตวงประมาณ
100 กว่าคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกของกลุ่มแม่พริก อ.ธวัช
ได้นำเข้าที่ประชุมในวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา
(ประชุมเตรียมการตำบลละแสน) ข้อสรุปที่ได้คือ
ที่ประชุมขอนำไปคิดก่อน
แล้วค่อยมาหารือกันอีกทีในวันประชุมเครือข่ายฯประจำเดือนมกราคม
ความจริงแล้วปรากฏการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของอำเภอเถิน
ที่เดิมมีกลุ่มเดียว คือ กลุ่มบ้านดอยไชย
ต่อมากลุ่มบ้านเหล่าซึ่งมีสมาชิกมาสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยก็ขอแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่ของตนเอง
กลุ่มบ้านดอนไชยก็ยินดีไม่มีปัญหาอะไร
บ้านเหล่าก็ไปตั้งกลุ่มใหม่
ส่วนสมาชิกของบ้านเหล่าที่เป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยนั้น
ทั้งสองกลุ่มได้หารือกัน และได้ข้อสรุปว่า
สมาชิกของกลุ่มบ้านเหล่าที่มาเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยทั้ง 100
กว่าคนนั้นให้เป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยเหมือนเดิม
เวลามีปัญหาหรือต้องการทำอะไรก็ให้มาติดต่อที่บ้านดอนไชย
เช่น
เมื่อป่วยไปนอนโรงพยาบาลก็เอาบิลมาเบิกที่กลุ่มบ้านดอนไชย
เป็นต้น แต่
เวลาออมเงินในแต่ละเดือนไม่ต้องเดินทางมาที่กลุ่มบ้านดอนไชย
ให้ออมที่กลุ่มบ้านเหล่าได้เลย
(เหมือนกับหารฝากเงินต่างสาขาของธนาคารนั่นแหละค่ะ)
เพื่อความสะดวก โดยพี่นก (กลุ่มบ้านดอนไชย) จะประสานงานกับ
อาจารย์นวภัทร (กลุ่มบ้านเหล่า)
ทุกเดือนว่าบ้านดอนไชยใช้บิลถึงเล่มไหน เลขที่ไหนแล้ว
ให้ออกบิลสมาชิกของบ้านเหล่าที่มาเป็นสมาชิกของบ้านดอนไชยต่อได้เลย
ซึ่งทางกลุ่มบ้านเหล่าก็จะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งของกลุ่มทำหน้าที่เก็บเงินและออกบิลเฉพาะสมาชิกกลุ่มบ้านเหล่าที่ไปเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชย
เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน
เมื่อรวบรวมเสร็จแล้วทางกลุ่มบ้านเหล่าก็จะเอามาส่งให้กับทางกลุ่มบ้านดอนไชย
หลังจากนั้นทางกลุ่มบ้านดอนไชยก็จะนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์
วิธีการนี้พี่นกบอกว่าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร
ยิ่งพอเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยยิ่งง่าย เพราะ
ถ้าข้อมูลที่นำมาส่งให้ผิด
พอคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก็จะรู้เลย ถ้าหากยังใช้ระบบมืออยู่
รับรองได้ว่าต้องเกิดความผิดพลาด ยิ่งกลุ่มที่มีสมาชิกมาก
ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดมากตามไปด้วย
นอกจากนี้แล้วพี่นกยังบอกอีกว่า
ได้ให้คำแนะนำกับกลุ่มแม่พริก
และกลุ่มพระบาทวังตวงไปแล้ว
ในเรื่องนี้
ด้วยความจริงแล้วผู้วิจัยก็ไม่อยากจะออกความคิดเห็นหรือวิจารณ์อะไรมาก
เพราะ กลัวว่าจะเกินบทบาทหน้าที่ของตนเอง
แต่ก็อยากตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ข้อหนึ่งก็แล้วกันนะคะว่า
การบริหารจัดการอย่างนี้ผู้วิจัยคิดว่าดี
ถ้าหากตกลงกันได้ แต่
ก็มีสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างหนึ่งก็คือ
ในกรณีของเงินออมนั้น ส่วนหนึ่ง 30%
ต้องเข้ากองทุนธุรกิจชุมชน
ซึ่งถ้ามีสมาชิกมากเงินก็จะมากตามไปด้วย
ในกรณีที่มีการแตกออกมาตั้งกลุ่มใหม่
ซึ่งสมาชิกเดิมของกลุ่มเก่า (บางส่วน)
ซึ่งน่าจะยกยอดมาอยู่กลุ่มใหม่ด้วยแต่กลับไม่ได้มา
ก็เท่ากับว่ากลุ่มเก่ายังมีสมาชิกเท่าเดิม
แต่กลุ่มใหม่ต้องมาหาสมาชิกใหม่
ถ้าในภายภาคหน้าเกิดมีกลุ่มใหม่ที่ไม่ยอมทำแบบนี้ขึ้นมาจะทำอย่างไร
เพราะ อย่าลืมว่ากลุ่มใหม่ก็ต้องเสียผลประโยชน์ในส่วนของเงิน
30% ที่จะตัดเข้ากองทุนธุรกิจชุมชน
(ที่เขียนมาไม่รู้ว่าคนอ่านเข้าใจหรือเปล่าค่ะ
ถ้าไม่เข้าใจก็เขียนมาถามกันได้นะคะ
จะพยายามอธิบายใหม่ให้เข้าใจค่ะ
หรืออยากจะเสนอแนะเพิ่มเติมก็ได้ค่ะ ยินดีน้อมรับค่ะ)