หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว วิไลลักษณ์...
สมุด
lampang_network
ยินดีต้อนรับสมาชิ...
นางสาว วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่
การสร้างฐานล่างให้แน่นโดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ถึงแม้ว่าอาจไม่เห็นผลรวดเร็วทันใจ แต่ผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน
ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ขอเล่าบรรยากาศในงานแต่งงานของเพื่อนให้ฟังก่อนค่ะ งานจัดได้ดีมากค่ะ กว่าผู้วิจัยจะไปถึงก็ 2 ทุ่มแล้ว ที่ไปช้าอย่างนี้เป็นความตั้งใจนะคะ เพราะ ถ้าไปถึงงานตั้งแต่หัววันก็ไม่รู้ว่าจะไปนั่งโต๊ะไหน กับใคร เนื่องจากเท่าที่ทราบจะมีเพื่อนที่รู้จักกันไปแค่ 2-3 คน รูปถ่ายที่จัดโชว์บริเวณงานสวยมาก ดูเป็นธรรมชาติ และสื่อให้เห็นความรักของคนทั้งสอง
ส่วนบรรยากาศในงานพิธีนั้นผู้วิจัยรู้สึกว่าค่อนข้างใช้เวลานานกว่างานอื่นๆที่เคยไป อาจเป็นเพราะ เป็นงานของตำรวจก็เลยมีหลายกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นมา เช่น ลอดซุ้มกระบี่ เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับงานอื่นๆซึ่งผู้วิจัยขอยอมรับตรงๆเลยว่ารู้สึกไม่ชอบเลยก็คือ เมื่อเริ่มเข้าสู่พิธีการ ขณะที่ประธานหรือแม้แต่คู่บ่าวสาวกล่าวบนเวที ผู้ที่มาร่วมงานจะคุยกันเสียงดังมาก ผู้วิจัยนั่งอยู่ที่โต๊ะ เชื่อไหมคะว่าแทบจะฟังคนที่พูดอยู่บนเวทีไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร เป็นอย่างนี้ทุกงานเลยค่ะ จนทำให้ผู้วิจัยรู้สึกว่าทำไมคนที่มาร่วมงานจึงไม่ให้เกียรติคู่บ่าวสาวเลย (ไม่รู้ว่าเพราะตัวเองเป็นอาจารย์หรือเปล่า ก็เลยไม่ชอบให้มีคนคุยเวลาที่สอนหรือมีคนอื่นพูด) ไม่ทราบว่าในงานแต่งงานของคนชาติอื่นเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่งานก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ กว่าผู้วิจัยจะกลับก็ 4 ทุ่มกว่าแล้วค่ะ กลับมาก็มานั่งทำงานต่อ จนกระทั่งตี 2 จึงได้เข้านอน
ตื่นเช้า (สาย) ขึ้นมา พอดีได้เปิดโทรทัศน์ไปที่ช่อง 11 เห็นขึ้นที่หน้าจอโทรทัศน์ว่า “สด” ในจอเป็นภาพของท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี นั่งอยู่ในวัด (จากการสังเกตค่ะ) บนเสื่อ ข้างๆมีพัดลมเปิดอยู่ ส่วนข้างหน้าเป็นโต๊ะญี่ปุ่นวางเอกสารอยู่พอสมควร และมีชาวบ้านนั่งตอบคำถามนายกฯ โดยมีผู้ช่วยคอยถือไมล์ประกบชาวบ้านอยู่ พอเห็นภาพอย่างนี้ผู้วิจัยคิดออกเลยว่าสงสัยจะอยู่ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เพราะ เมื่อวานได้เย็นข่าวผ่านหูว่านายกฯและคณะจะที่นั่น
ผู้วิจัยก็เลยนั่งดูซะหน่อยว่ากำลังทำอะไรกัน ในที่สุดก็ถึงบางอ้อเมื่อมีตัวอักษรขึ้นที่หน้าโทรทัศน์ว่าเป็นการลงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ เมื่อเห็นอย่างนี้ผู้วิจัยก็เลยนั่งดูต่อ ความจริงดูแรกๆก็เห็นว่าเข้าท่าดี เพราะ นายกฯสั่งเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินนอกระบบ ที่ผู้วิจัยเห็นว่าเข้าท่าดี เนื่องจาก เห็นว่าถ้านายกฯสั่งรับรองว่าพวกเจ้าหนี้นอกระบบหัวหดแน่ รับรองว่าไม่กล้าหือ ชาวบ้านได้ร้องเฮแน่นอน (เรื่องบางเรื่องต้องอาศัยการตัดสินใจและคำสั่งที่เด็ดขาด)
แต่พอฟังไปฟังมารู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ เพราะ เห็นว่าชาวบ้านตอบคำถามไม่ทันนายกฯ นายกฯพูดอยู่คนเดียว แถมพูดไทยคำ อังกฤษคำอีก ชาวบ้านจะรู้เรื่องไหมนี่ แถมนายกยังหันไปสั่งกระทรวง ส่วนราชการต่างๆอีกว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ คนที่รับคำสั่งได้แต่จด แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าใจหรือเปล่า และถ้าเข้าใจจะเข้าใจผิดหรือถูกก็ไม่รู้ (ยังมีคำถามต่อเนื่องอีกเยอะแยะค่ะ ถ้า list ออกมาสงสัยวันนี้คงไม่ต้องทำอะไรแล้ว)
พอดีมีคนที่นั่งดูโทรทัศน์กับผู้วิจัยคนหนึ่งถามขึ้นมาว่าในฐานะที่ผู้วิจัยเป็นอาจารย์เห็นว่าวิธีการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบนี้จะได้ผลไหม
ผู้วิจัยก็เลยตอบว่า ขอตอบในฐานะที่ไม่ใช่อาจารย์แต่เป็นชาวบ้านคนหนึ่งก็แล้วกันนะคะว่า คิดว่าไม่ได้ผล เพราะ เท่าที่ฟังจากโทรทัศน์บอกว่ามีชาวบ้านมา 200 คน แสดงว่าต้องมีการคัดเลือกคนมา เนื่องจากทั้งอำเภอมีคนยากจนเยอะแยะจะมาแค่ 200 คนได้ยังไง คนที่มาก็อยู่ในวัยแรงงานที่สูญเสียที่ดิน เป็นหนี้ ทำการเกษตรไม่ได้ผล แล้วคนกลุ่มอื่นๆล่ะ เช่น คนชรา คนถูกทอดทิ้ง เด็ก คนด้อยโอกาส เป็นต้น คนพวกนี้หายไปไหนหมด (เท่าที่ดูไม่เห็นคนพวกนี้) แถมยังพูดไม่ทันนายกฯอีก สิ่งที่นายกฯเห็นว่าเป็นปัญหาอาจไม่ใช่ปัญหาของเขาก็ได้ และการที่นายกฯสั่งๆๆๆๆนั้น ถ้าคิดในแง่หนึ่งก็ดี เพราะ ถ้านายกฯไม่สั่ง คน (ระบบ) ก็ไม่ทำงาน แต่อีกแง่หนึ่ง การสั่งอย่างนี้ก็จะไปซ้ำรอยเดิมของการพัฒนาที่ผ่านมา คือ Top down ชาวบ้านไม่เกิดการเรียนรู้ ฐานไม่แน่น ในที่สุดก็ล้ม การพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่เกิด ถ้าหากเสนอแนะได้ ผู้วิจัยอยากให้นายกฯศึกษาหลักคิดของ KM
แล้วนำไปใช้ก็จะดี โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างฐานล่างให้แน่นโดยใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (ไม่รู้ว่าใช่หลักคิดของ
KM
หรือเปล่า แต่ผู้วิจัยคิดว่าใช่) ถึงแม้ว่าอาจไม่เห็นผลรวดเร็วทันใจ แต่ผลที่เกิดขึ้นจะยั่งยืน และนายกฯคงไม่ต้องมานั่งเหนื่อยอย่างนี้ (ขอแสดงความคิดเห็นแค่นี้ก็แล้วกันนะคะ เพราะ ถ้ามากกว่านี้กลัวว่าจะกลายเป็นขาประจำไปอีกคน)
มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ วันนี้ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องการขยายกลุ่มให้ฟังค่ะ (ตามที่สัญญาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้) แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องนี้ ขอแทรกเรื่องเก็บตกจากกลุ่มเถินก่อนนะคะ เมื่อคืนนี้กลับมานั่งอ่านโน้ตและทบทวนความจำของตัวเอง เห็นว่ายังมีเรื่องที่ยังไม่ได้เล่าจากการไปที่กลุ่มเถินอีกประมาณ 2 ประเด็น ก็เลยถือโอกาสแทรกเรื่องนี้ก่อนที่จะขึ้นต้นเรื่องใหม่ก็แล้วกันนะคะ
ประเด็นแรก ตอนนี้กลุ่มบ้านดอนไชย ได้นำเงินกองทุนสวัสดิการคนทำงานมาลงทุนเปิด “ร้านค้าสวัสดิการชุมชนบ้านดอนไชย” ได้ 3-4 เดือนแล้วค่ะ พี่นกบอกว่าได้กำไรเพิ่มขึ้นทุกเดือน เดือนแรกได้กำไรหลักร้อยค่ะ ต่อมาก็เพิ่มเป็นหลักพัน มีการจ่ายค่าตอบแทนให้กับคนทำงานด้วย อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นกองกลางสำหรับเสริมสภาพคล่องและทำกิจกรรมต่างๆเพื่อสาธารณะ มีการแบ่งเวรกันเฝ้าร้าน ผู้วิจัยจำได้ว่าก่อนที่จะเดินทางกลับได้พบกับพี่..... (ชื่ออะไรจำไม่ได้ค่ะ) ซึ่งเป็นคนพิการ ได้รับสวัสดิการคนด้อยโอกาสแล้ว (ทางกลุ่มออมให้ทุกเดือน) พี่นกบอกว่าพี่.... มาเข้าเวร พี่เขาจะเข้าเวรในช่วงเย็นของทุกวัน นอกจากนี้แล้วพี่นกยังบอกว่าตอนนี้กำลังพัฒนาโปรแกรมบัญชี (คอมพิวเตอร์) ที่จะใช้กับร้านค้านี้ด้วย โดยขณะนี้ได้รับการเสนอแนะจากพี่เบิ้ม (กลุ่มเกาะคา) ให้นำโปรแกรม SME มาใช้ ซึ่งพี่เบิ้มเอาโปรแกรมและคำอธิบายต่างๆมาให้ พี่นกกำลังศึกษาอยู่ โดยพี่นกบอกว่าเท่าที่ศึกษามาเห็นว่าเป็นโปรแกรมที่ดีมาก แต่ก็ต้องดูอีกทีว่าจะนำมาใช้ได้แค่ไหน
ส่วนประเด็นที่สอง พี่นกได้ฝากมาว่าอยากจะให้ทางเครือข่ายฯพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใช้ในการเก็บข้อมูลสมาชิก (ตอนนี้มีแต่ของกลุ่ม) พี่นกให้ทัศนะในเรื่องนี้ว่า นับวันเครือข่ายฯจะมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น การทำบัญชีหรือเก็บข้อมูลด้วยมืออย่างเดียวไม่พอ ทำให้ตรวจสอบข้อมูลสมาชิกยาก เสียเวลานาน มีโอกาสผิดพลาด ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการจะช่วยได้มาก นอกจากนี้แล้วเครือข่ายฯยังต้องมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆเรื่อง ไม่อย่างนั้นกลุ่มที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆอาจไม่อยากเข้ามาเป็นสมาชิกก็ได้
เรื่องเก็บตกก็คงมีอยู่แค่นี้ค่ะ (เท่าที่คิดออก) เรามาคุยเรื่องการขยายกลุ่มดีกว่าค่ะ ตอนนี้เรามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก 2 กลุ่มค่ะ (ยังไม่เป็นทางการ) คือ กลุ่มบ้านศรีบุญเรือง นำโดยลุงมนุษย์ เดชะ กลุ่มนี้ตั้งอยู่ในเมือง บริเวณชุมชนศรีบุญเรือง คุณสามารถเดินทางไปขายความคิดหลายครั้ง เนื่องจากกลุ่มนี้กำลังมีโครงการบ้านมั่นคงด้วยค่ะ ซึ่งคุณสามารถดูแลอยู่ ก็เลยนำเรื่องการออมวันละ 1 บาท เข้าไปด้วย เท่าที่ผู้วิจัยทราบตอนนี้ตั้งกลุ่มมาได้ 1 เดือนแล้ว แต่มีสมาชิกยังไม่ถึง 100 คน (ความจริงถ้ามีสมาชิกไม่ถึง 100 คน ต้องเป็นสมาชิกสมทบค่ะ แต่สำหรับกรณีนี้ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร คงหารือกันในวันที่ 22 มกราคม ซึ่งเป็นวันประชุมสัญจรค่ะ)
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่ม พระบาทวังตวง อยู่ที่ตำบลพระบาทวังตวง อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปางค่ะ เป็นอีกหนึ่งรูปแบบการตั้งกลุ่มใหม่ค่ะ เพราะ กลุ่มนี้แยกมาจากกลุ่มแม่พริก จะขอเล่ารายละเอียด (เท่าที่ทราบ) ให้ฟังนะคะว่า เดิมที่อำเภอแม่พริก เครือข่ายฯมีสมาชิกอยู่ 1 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านแม่พริก ประธานฯ คือ อ.ธวัช ต่อมามีชาวบ้านจากตำบลพระบาทวังตวง ซึ่งอยู่ติดๆกับเทศบาลตำบลแม่พริก เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกด้วย พอมีคนจากพระบาทวังตวงมาสมัครมากๆเข้า อ.ธวัชก็เลยแนะนำว่าน่าจะตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นมา ตอนแรกก็ยังไม่มีใครเป็นแกนนำ เนื่องจาก ติดปัญหาในเรื่องคณะกรรมการ คนทำงานที่หาไม่ได้ อ.ธวัช ก็พยายามผลักดันอยู่เรื่อยๆ ทางกลุ่มแม่พริกก็ได้ช่วยเหลือ โดยตั้งคนของพระบาทวังตวงให้เข้ามาเป็นคณะกรรมการของกลุ่มแม่พริก จะได้เรียนรู้งาน เวลาไปประชุมที่ไหนก็จะพาไปด้วย จนคณะกรรมการมีความพร้อมจึงแยกออกมาตั้งกลุ่มใหม่
ดูเหมือนว่าจะเรียบร้อยและไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็เกิดคำถามขึ้นมาจนได้ว่าแล้วจะทำอย่างไรกับสมาชิกกลุ่มพระบาทวังตวงประมาณ 100 กว่าคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกของกลุ่มแม่พริก อ.ธวัช ได้นำเข้าที่ประชุมในวันที่ 7 มกราคม ที่ผ่านมา (ประชุมเตรียมการตำบลละแสน) ข้อสรุปที่ได้คือ ที่ประชุมขอนำไปคิดก่อน แล้วค่อยมาหารือกันอีกทีในวันประชุมเครือข่ายฯประจำเดือนมกราคม
ความจริงแล้วปรากฏการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีของอำเภอเถิน ที่เดิมมีกลุ่มเดียว คือ กลุ่มบ้านดอยไชย ต่อมากลุ่มบ้านเหล่าซึ่งมีสมาชิกมาสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยก็ขอแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มใหม่ของตนเอง กลุ่มบ้านดอนไชยก็ยินดีไม่มีปัญหาอะไร บ้านเหล่าก็ไปตั้งกลุ่มใหม่ ส่วนสมาชิกของบ้านเหล่าที่เป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยนั้น ทั้งสองกลุ่มได้หารือกัน และได้ข้อสรุปว่า สมาชิกของกลุ่มบ้านเหล่าที่มาเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยทั้ง 100 กว่าคนนั้นให้เป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชยเหมือนเดิม เวลามีปัญหาหรือต้องการทำอะไรก็ให้มาติดต่อที่บ้านดอนไชย เช่น เมื่อป่วยไปนอนโรงพยาบาลก็เอาบิลมาเบิกที่กลุ่มบ้านดอนไชย เป็นต้น แต่ เวลาออมเงินในแต่ละเดือนไม่ต้องเดินทางมาที่กลุ่มบ้านดอนไชย ให้ออมที่กลุ่มบ้านเหล่าได้เลย (เหมือนกับหารฝากเงินต่างสาขาของธนาคารนั่นแหละค่ะ) เพื่อความสะดวก โดยพี่นก (กลุ่มบ้านดอนไชย) จะประสานงานกับ อาจารย์นวภัทร (กลุ่มบ้านเหล่า) ทุกเดือนว่าบ้านดอนไชยใช้บิลถึงเล่มไหน เลขที่ไหนแล้ว ให้ออกบิลสมาชิกของบ้านเหล่าที่มาเป็นสมาชิกของบ้านดอนไชยต่อได้เลย ซึ่งทางกลุ่มบ้านเหล่าก็จะมอบหมายให้กรรมการคนหนึ่งของกลุ่มทำหน้าที่เก็บเงินและออกบิลเฉพาะสมาชิกกลุ่มบ้านเหล่าที่ไปเป็นสมาชิกของกลุ่มบ้านดอนไชย เพื่อไม่ให้เป็นการสับสน เมื่อรวบรวมเสร็จแล้วทางกลุ่มบ้านเหล่าก็จะเอามาส่งให้กับทางกลุ่มบ้านดอนไชย หลังจากนั้นทางกลุ่มบ้านดอนไชยก็จะนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์
วิธีการนี้พี่นกบอกว่าไม่มีปัญหายุ่งยากอะไร ยิ่งพอเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยยิ่งง่าย เพราะ ถ้าข้อมูลที่นำมาส่งให้ผิด พอคีย์เข้าคอมพิวเตอร์ก็จะรู้เลย ถ้าหากยังใช้ระบบมืออยู่ รับรองได้ว่าต้องเกิดความผิดพลาด ยิ่งกลุ่มที่มีสมาชิกมาก ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดมากตามไปด้วย นอกจากนี้แล้วพี่นกยังบอกอีกว่า ได้ให้คำแนะนำกับกลุ่มแม่พริก และกลุ่มพระบาทวังตวงไปแล้ว
ในเรื่องนี้ ด้วยความจริงแล้วผู้วิจัยก็ไม่อยากจะออกความคิดเห็นหรือวิจารณ์อะไรมาก เพราะ กลัวว่าจะเกินบทบาทหน้าที่ของตนเอง แต่ก็อยากตั้งเป็นข้อสังเกตเอาไว้ข้อหนึ่งก็แล้วกันนะคะว่า การบริหารจัดการอย่างนี้ผู้วิจัยคิดว่าดี ถ้าหากตกลงกันได้ แต่ ก็มีสิ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างหนึ่งก็คือ ในกรณีของเงินออมนั้น ส่วนหนึ่ง 30% ต้องเข้ากองทุนธุรกิจชุมชน ซึ่งถ้ามีสมาชิกมากเงินก็จะมากตามไปด้วย ในกรณีที่มีการแตกออกมาตั้งกลุ่มใหม่ ซึ่งสมาชิกเดิมของกลุ่มเก่า (บางส่วน) ซึ่งน่าจะยกยอดมาอยู่กลุ่มใหม่ด้วยแต่กลับไม่ได้มา ก็เท่ากับว่ากลุ่มเก่ายังมีสมาชิกเท่าเดิม แต่กลุ่มใหม่ต้องมาหาสมาชิกใหม่ ถ้าในภายภาคหน้าเกิดมีกลุ่มใหม่ที่ไม่ยอมทำแบบนี้ขึ้นมาจะทำอย่างไร เพราะ อย่าลืมว่ากลุ่มใหม่ก็ต้องเสียผลประโยชน์ในส่วนของเงิน 30% ที่จะตัดเข้ากองทุนธุรกิจชุมชน (ที่เขียนมาไม่รู้ว่าคนอ่านเข้าใจหรือเปล่าค่ะ ถ้าไม่เข้าใจก็เขียนมาถามกันได้นะคะ จะพยายามอธิบายใหม่ให้เข้าใจค่ะ หรืออยากจะเสนอแนะเพิ่มเติมก็ได้ค่ะ ยินดีน้อมรับค่ะ)
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นางสาว วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ
ใน
lampang_network
คำสำคัญ (Tags):
#uncategorized
หมายเลขบันทึก: 12488
เขียนเมื่อ 17 มกราคม 2006 13:37 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:19 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว วิไลลักษณ์...
สมุด
lampang_network
ยินดีต้อนรับสมาชิ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท