การประเมินและวางแผนให้กิจกรรมการรักษาที่สามารถติดตามผลในการเลือกพัฒนาการเคลื่อนไหวโดยควบคุม compensation ตามธรรมชาติที่สุด
ขอบคุณอาจารย์และเจ้าหน้าที่นักกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดทุกท่านครับ
ต่อเนื่องจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งที่แล้ว
โจทย์ของครั้งนี้คือ ทำอย่างไรถึงจะควบคุม compensation ที่เพิ่มขึ้นของผู้ป่วย เนื่องจากการฝึกของกายภาพบำบัดที่อาจไม่สอดคล้องกันกับกิจกรรมบำบัด
ผู้เข้าร่วมประชุมมีการพูดถึงประเด็นตรงกันอย่างน่าสนใจคือ
- นักกายภาพบำบัดและนักกิจกรรมบำบัดควรประเมินว่าผู้ป่วยต้องการเคลื่อนไหวและการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตในรูปแบบใด เช่น แบบปกติ แบบใกล้เคียงปกติ แบบทีทำกิจกรรมได้และไม่ต้องควบคุม compensation มากนัก หรือแบบที่ทำกิจกรรมได้ด้วยเทคนิค constrain induced movement (CI)
- ทั้งสองวิชาชีพได้เรียนรู้การจัดท่าทางไม่ให้เกิด spasticity ขณะเคลื่อนไหว แต่ต้องร่วมกันให้ผู้ป่วยได้เรียนรู้ในการควบคุมท่าทางที่ไม่ให้เกิด spasticity มากจนเกินไปและมีโอกาสได้ทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข
- บางครั้งการควบคุมให้ผู้ป่วยมี normal movement pattern มากจนเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวอย่างธรรมชาติ เพราะการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตในธรรมชาติต้องมีการให้ผู้ป่วยเรียนรู้ compensation ในระยะแรก จนเกิดการควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยตนเอง และมีการประเมินท่าทางที่เกิด spasticity น้อยที่สุด (ร่วมกับทั้งนักกายภาพบำบัดและนักกิจกรรมบำบัด) ในแต่ละระยะของการฟื้นตัวทางระบบประสาท
- บางครั้งเรายึดติดกับเป้าหมายหลักของการรักษาเรื่อง normal functional movement pattern แต่ในความเป็นจริงเราน่าจะมององค์ประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น interest of client, habitual performance, volitional performance, self-feedback in learning how to perform functional tasks
ประชุมครั้งต่อไป เป็นครั้งที่ 7 น่าจะมีการต่อยอดเรื่องนี้แบบ "นำเสนอผลการประเมินและวางแผนการรักษาเกี่ยวกับ compensation ในผู้ป่วย stroke ระหว่าง PT & OT"