มูลนิธิสื่อเพื่อเยาวชน
ว่าที่ร้อยตรี จิรศักดิ์ กรรเจียกพงษ์

เด็กแนวยุคผลัดใบ..แว้น..สก๊อย..อีโม..แอ๊บแบ๊ว!!!


เสียงแว้น..แว้น...ของมอเตอร์ไซค์ที่เร่งเครื่องเสียงดังกระทบโสตประสาท จากกลุ่มเด็กแก๊งกวนเมืองในยามค่ำคืน ที่ถูกขนานนามว่าเด็กแว๊น มีการพัฒนาสายพันธุ์ไปเป็นเด็กสก๊อย-เด็กอีโม และสารพัดเด็ก “ปริทรรศน์” ขออาสาพาไปสัมผัสกับซอกหลืบเล็กๆ ในสังคมของเด็กแนวยุค 2007 โลกในยามรัตติกาลที่หลายคนต่างหลับใหล แต่เด็กกลุ่มนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับตะโกนบอกกับสังคมว่านี่คือสิทธิอันชอบธรรมของพวกเขา แล้วสังคมจะว่าอย่างไรดี???
       

       
        “เจ” หนึ่งในผู้ลุ่มหลงเสียงรถมอเตอร์ไซค์เป็นชีวิตจิตใจ ทุกค่ำคื่นยามวิกาล หลังจากที่ผับบาร์สถานเริงรมย์กำลังหยุดการเคลื่อนไหว และไร้ซึ่งวี่แววของตำรวจ เขาและผองเพื่อนอีกเป็นโขลงเริ่มจากกลุ่มเล็กๆ 10-20 คน ยิ่งความมืดเทาไหร่ จำนวนผองเพื่อนก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นชนฝูงใหญ่ ที่มารวมตัวกันที่บริเวณถนนรอบเมืองและรอยต่อปริมณฑล แล้วก็พากันแห่แหนไปยังทำเลที่เหมาะเจาะ
       
       “แว้น...แว้น...” เสียงจากการบิดคันเร่งดังสนั่น รบกวนโสตประสาทของผู้คน พร้อมกับการขับโชว์ลีลาการขับขี่แบบพิลึกพิลั่น เช่น ยกล้อ ท่าขับที่ขึ้นไปเหาะเหินนอนราบบนเบาะรถเพื่อโชว์ความเก่งกาจ หรือขับรถปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อกวนอวัยวะเบื้องล่างของเจ้าของรถ บางคนที่ขับรถมาคนเดียวไร้คู่เปล่าเปลี่ยวก็จะยิ่งโชว์ลีลาการขับให้พิสดารมากขึ้นไปอีก เพื่อโชว์แม่สาวหน้าตาแฉล้มที่ซ้อนท้ายรถแต่ละคันให้หันมาชื่นชมความแมนแบบสุดๆๆๆๆ ของตัวเอง แต่หารู้หรือไม่ว่านั่นเป็นพฤติกรรที่เสี่ยงสุดๆ
       
       พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเป็นผลตกผลึกมาจากการผลัดใบของวัยรุ่น ในยุคโลกไร้พรมแดนขวางกั้น จึงทำให้มีแก๊งวัยรุ่นป่วนเมืองเกิดขึ้นให้เห็นอยู่เป็นประจำ อย่างแก๊งมอเตอร์ไซค์กวนเมืองที่นัดรวมตัวกัน “บิด” อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อสนองความเมามันของตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัดบนท้องถนน จนกลายเป็นที่รำคาญของผู้คน และสร้างความปั่นป่วนให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่สามารถจัดการกับกลุ่มเด็กเหล่านี้ได้ เพราะแต่ละคนล้วนมีความสามารถในการหลีกหนีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกันได้อย่างแคล่วคล่องประดุจดั่งนินจา จนทำให้คนดังระดับอดีตมหาเสนาบดีอย่าง วัฒนา เมืองสุข มีความคิดที่จะจัดสนามส่งให้ลูกหลานไปตายเป็นที่เป็นทาง
       
       แต่ก็หาได้ประสบผลสำเร็จไม่ เพราะแก๊งซิ่งเหล่านั้นเขามักจะมีนิสัยเฉพาะประการหนึ่งคือชอบทำตัวเป็นผีตองเหลืองอพยพไปยังสถานที่ต่างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ชอบความจำเจ จึงทำให้ปัญหานี้ยังคงเกิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ
       
       เด็กแว้น “แซป” หลาย
       ท่ามกลางความจอแจของผู้คนทุกเพศทุกวัยตั้งแต่ระดับเด็กมัธยมหน้ามหาวิทยาลัย จนถึงวัยกลางคนที่เดินทางมาเลือกซื้อหาเสื้อผ้าราคาย่อมเยาให้กับตัวเอง ที่บริเวณเชิงตีนสะพานพุทธ ถัดไปอีกใกล้ๆกับสะพานพุทธจะพบกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-20 ปี ที่มักมารวมตัวกันตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ตั้งตัวเองเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้เพื่อส่งเสียงอื้ออึง ครั้นเมื่อถึงยามวิกาลทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นโลกกำลังหยุดการเคลื่อนไหว แต่พวกเขาเหล่านั้นกำลังจะเริ่มปฏิบัติภารกิจคาราวานรวมมิตร “บิด” มอเตอร์ไซค์หลากยี่ห้อเพื่อรบกวนชาวบ้านร้านตลาดให้เขาส่งเสียงชื่นชมญาติผู้ใหญ่และอวยพรตามหลังไม่ขาดปาก
       
       ใช่แล้วพฤติกรรมเหล่านี้ย่อมไม่ใช่อื่นไกล ก็คือ “เด็กแว้น” หรือ “เด็กแซป” ที่กลายมาเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ สั่นสะเทือนกันไปทั่วทั้งเมือง ในอดีตระหว่างคำสองคำนี้จะใช้แตกต่างกัน “เด็กแซป” นั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะวงการมอเตอร์ไซค์ แต่จะเหมารวมถึงกลุ่มเด็กที่ชอบทำตัวให้โดดเด่นสะดุดสายตาชาวบ้านด้วยวิธีการผิดๆ เพื่อให้เป็นที่สนใจ เช่น การชกต่อยในงานฟรีคอนเสิร์ต ใส่เสื้อผ้าสีสันบาดตา ไม่เรียนหนังสือ สิงสถิตอยู่แถวโต๊ะสนุ้ก แต่ที่พวกเด็กแซปชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือ การดัดแปลงรถมอเตอร์ไซค์และรวมตัวกันเป็นแก๊ง และในที่สุดก็ได้พัฒนากลายมาเป็น “เด็กแว้น”
       
       เด็กแว๊น หรือ แซป นั้น มีคนสันนิษฐานว่ามาจาก “แซปคุง” ซึ่งเป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ส่วนคำว่า แว้น นั้น มาจากเสียงท่อไอเสียที่ดัดแปลงให้เสียงดังขึ้น รวมไปถึงเสียงดังที่เกิดจากการบิดหนีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิตด้วย เมื่อบิดก็จะเกิดเสียงดังแว้นๆๆๆ ซึ่งจะรับหน้าที่เป็นคนขับรถส่ายไปส่ายมาบนท้องถนน
       
       ลักษณะที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ ว่าเขาผู้นั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกเด็กแว้นหรือไม่นั้นก็คือ เด็กแว้นมักจะใส่กางเกงขาเดฟฟิตมากๆ จน “น้องชาย” แทบหลั่งน้ำตา พร้อมเสื้อสีดำตัวเล็ก หรือเสื้อที่มีสกรีนลายชื่อนักร้องขวัญใจวัยโจ๋วงต่างๆ บางรายอาจจะแสดงความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งด้วยการใส่กางเกงขาสั้น และต้องเป็นยี่ห้อสุดฮิตอย่าง เจเจ เท่านั้น ทรงผมสุดฮิตก็คือ “ทรงปั๊ป โปเตโต้” ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร คือปาดปอยผมจากด้านข้างเกือบจดหูพาดมาอีกข้างหนึ่งของใบหน้า จะให้เท่ก็ต้องมีปอยผมห้อยมาปิดลูกตา ดูๆ ไปเหมือนตาบอดไปข้างหนึ่ง ส่วนใหญ่จะใสรองเท้าแตะแบบนิ้วคีบรุ่น “ต.ช.ด.” ตราช้างดาว เพราะราคาไม่แพง สำหรับแนวเพลงที่ชาวแว้น หรือแซป ชอบมากเป็นพิเศษ คือ บอดี้แสลม บิ๊กแอส linkin park หรือวงที่กำลังเป็นขวัญใจวัยโจ๋เมืองไทยอยู่ในขณะนี้อย่างวง retrospect เป็นต้น
       
       หนุ่ย เด็กหนุ่มผู้หลงใหลในเสียงแว้นๆๆ เปิดใจเล่าถึงที่มาที่ไปของเด็กแว๊นว่า เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมดัดแปลงท่อให้รถให้มีเสียงดัง และทำเครื่องให้แรง เพื่อประลองความเร็วกันในสนามแข่ง บางครั้งก็จะใช้ชื่อว่า “เด็กเทสต์” ซึ่งหมายถึงรถที่เพิ่งผ่านการดัดแปลงมาสดๆ ร้อนๆ แล้วก็จะนำมาทดลองขับว่าเสียงดังพอหรือไม่ โดยช่วงอายุของแว้นจะเริ่มตั้งแต่ 15 ไปจนถึง แว๊นรุ่นปู่อายุ 25 ปีขึ้นไป
       
       ภารกิจของพวกเด็กแว้นส่วนใหญ่แล้ว ช่วงเวลากลางวันจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการพักผ่อนเพื่อเก็บเรี่ยวแรงไว้สำหรับตอนกลางคืน ทุกวันเวลาเย็นย่ำพวกเขาจะเติมน้ำมันรถให้เต็มถัง เพื่อไว้ใช้ขับโฉบเฉี่ยวเร็วปรื๋อไปมาในราตรีกาล
       
       สำหรับเส้นทางการเข้าสู่ถนนสายนี้นั้นหนุ่ยเล่าว่า เริ่มมาจากการชื่นชอบในสีสันการแต่งรถ จนนำพาไปสู่การชื่นชอบความเร็วแบบซิ่งปรู๊ดปร๊าด ขณะที่บางคนก็มาจากสภาพครอบครัวที่พ่อไปทางแม่ไปทาง ลูกขาดที่ยึดหลักทางใจ สุดท้ายลูกจึงคิดอยากหาวิธีเรียกร้องความสนใจด้วยการใช้ความเร็วและท่อที่เสียงดัง ไปรบกวนโสตประสาทของชาวบ้านที่กำลังนอนหลับอย่างสุขสบายต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก และต้องนอนฟังเสียงอันหยาบคายของมอเตอร์ไซค์กลุ่มนี้อย่างไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่หนุ่ยยืนยันว่า
       
       “ผมคิดว่าตัวเองไม่เคยไปรังแกใคร พวกเราก็จะอยู่ในส่วนของตัวเอง ส่วนใครจะว่าอย่างไรผมก็คิดว่าไม่สำคัญ เพราะพวกเราชอบและรักสนุก”
       
       หนุ่ยเล่าต่อว่า รถที่นำไปใช้ในการขับส่วนใหญ่จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ รุ่นมีโอ ฮอนด้าคลิก หรือนูโวออโตเมติก ซึ่งล้วนเป็นรถที่ไม่มีเกียร์สามารถบิดคันเร่งได้อย่างสะดวก ซึ่งรถเกือบทุกคันต้องผ่านกระบวนการปรุงแต่งมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการปาดเบาะให้บางเฉียบเหมือนทีวีจอแบน การโมดิฟายเครื่องให้แรงและเสียงดัง ซึ่งการแต่งรถแต่ละครั้งนั้นจะต้องใช้เงินอยู่ที่เรือนพันไปจนถึงหมื่นบาท
       
       “แต่งรถครั้งหนึ่งถ้าราคาต่ำที่สุดอยู่ที่ 1,000 บาท ไปจนถึง 10,000 บาทขึ้นไป เงินที่ใช้ในการแต่งรถบางส่วนบางคนก็จะได้มาจากการทำงานพิเศษ หรือขอพ่อแม่ แต่บางคนก็จะใช้วิธีเป็นสายส่งยาเสพติด” หนุ่ยแจกแจงให้ฟัง
       
       กฎเหล็กที่ทุกคนคิดจะก้าวเข้ามาเป็นสมาชิกต้องท่องจำให้ขึ้นใจ คือ ไม่ว่าจะเมามันขนาดไหน หากเจอตำรวจ...บิดหนีตัวใครตัวมัน เพราะถ้าจับได้จะต้องถูกยึดรถ และหากต้องการไถ่รถคืนมาจะต้องหาอุปกรณ์มาใส่ให้ครบแล้วจะทำอย่างไรเสียเงินไปตั้งเป็นหมื่นกว่าจะได้สีถูกใจ เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กแว้นจึงหนีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิต จนหลายครั้งเกิดการเฉี่ยวชนคนและรถคันอื่นตามที่เป็นข่าวอย่างที่แล้วมา
       
       สถานที่เด็กแว้น หรือแซป นัดพบกันส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณถนนรอบเมืองและรอยต่อปริมณฑล ลานพระบรมรูปทรงม้า แยกกองทัพภาคที่ 1 หน้าสวนอัมพร หรือที่นัดพบจุดสำคัญอีกที่หนึ่งคือ สะพานพุทธ ซึ่งวันที่สะดวกที่สุดคือวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือวันไหนๆ ก็พบกันได้ถ้ามีหัวใจเดียวกัน
       
       ทุกวันนี้จำนวนเด็กแว้นมีชุกชุมขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าจะโดนตำรวจพยายามไล่จับอย่างไรก็ไม่หมดไปเสียที ลำพังขับซ่ายึดถนนเป็นลู่แข่งขันยังไม่พอ นอกจากเสียงที่ดังรบกวนประสาทชาวบ้านแล้ว ยังเป็นตัวอันตรายบนท้องถนนที่สร้างปัญหาให้กับผู้ขับขี่อื่นๆ ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุไปด้วย
       
       สก๊อยจัง “ตุ๊กตาหลังรถ”
       
หญิงสาวผูกโบกระจุ๋มกระจิ๋มที่ศีรษะ ใส่เสื้อกล้ามแนบเนื้อโชว์สัดส่วนอันอวบอั๋น อยู่ในท่านั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์กอดรัดเอวชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นแฟ้น ชนิดว่ากลัวมอเตอร์ไซค์ทำหล่นกลางทาง
       
       นี่เป็นลักษณะที่สังเกตได้ง่ายๆ ของ “สก๊อย” หรือ “เลดี้แซป” หญิงสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตุ๊กตาหลังรถของเด็กแว้น หรือแซป พวกเธอเหล่านั้นจะใส่เสื้อยืดรัดติ้ว หรือไม่ก็ใส่สายเดี่ยว เสื้อกล้าม เกาะอก โชว์ให้เห็นเนื้อหนังมังสาแบบไม่เกรงใจสายตาคู่อื่นที่จ้องมอง ชอบใส่กางเกงขาสั้นเอวต่ำเพื่อโชว์ผิวม้าลายกับแก้มก้นกะด่างกะดำ ส่วนใบหน้าของเจ้าหล่อนจะโบ๊ะให้ขาววอก ประดุจไปเอาแป้งงิ้วมาฉาบหน้าไว้ และจะผูกผมเป็น 2 ข้าง ส่วนริมฝีปากของเธอนั้นก็จะแดงระเรื่อเหมือนกับเพิ่งออกจากเล้าไก่มาหมาดๆ
       
       เครื่องประดับชิ้นสำคัญที่พวกเธอจะขาดไม่ได้เลยก็คือ หวี ที่ถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ติดกับพวกเธอประดุจดั่งของหวงห้ามเลยทีเดียว เพราะมิเช่นนั้นทรงผมทรงหนูแทะที่เซตมาพอลงจากรถที่ขับด้วยความเร็วแรงแล้ว ก็อาจจะฟูเป็นฝอยขัดหม้อได้ การใช้โทรศัพท์รุ่นหรูเลิศราคาแพงๆ หรือบางรายอาจจะห้อยตุ๊กตาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของตัวเองว่า ฉันพร้อมเป็น “ตุ๊กตาหลังรถ” ให้เธอ และน้ำยาอุทัยทิพย์ที่ใช้ทาปากให้แดงอยู่เสมอ
       
       คำว่าสก๊อย นั้นมีที่มาจาก “สก๊อยจัง” ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครในหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่น ที่ออกแบบขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 7 ปีมอนสเตอร์คลับ ซึ่งทั้ง สก๊อยจัง และแซปคุง ต่างเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกัน
       
       สถานที่ส่วนใหญ่ที่ทั้งเขาและเธอจะพบกันก็คือ ตามสวนสาธารณะต่างๆ ที่พวกแซปไปรวมตัวกัน เพื่อก่อหวอดสั่นโสตประสาทคนอื่นต่อไป
       
       เอ๋ ชื่อที่บรรดาเด็กแว๊นคุ้นเคยเป็นอย่างดี เธอเป็นเด็กสาววัยกระเตาะที่เพิ่งแตกเนื้อสาว ทุกวันนี้เธออาศัยอยู่กับยายเพียงสองคน โดยที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้
       
       เอ๋เล่าถึงเส้นทางที่เธอเข้ามาเป็นหนึ่งในขบวนการเด็กแว้นว่า เริ่มแรกเดิมที่เธอเห็นเพื่อนที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนเดียวกันมีแฟนแล้วไปซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์แฟน ก็เลยเกิดความรู้สึกว่าอยากจะลองนั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์บ้าง และคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ในขณะเดียวกันเธอเองก็ไม่ต้องการให้ใครเอาพฤติกรรมของตัวเองไปเป็นเยี่ยงอย่าง
       
       “ไม่เคยรู้จักคำว่าสก๊อยมาก่อน แต่ก็รู้สึกชอบที่มีคนมาตั้งให้ ทุกครั้งที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ใคร เราก็ต้องการทำตัวเองให้ดูดีอยู่แล้ว เพราะผู้หญิงกับการแต่งตัวก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา”
       
       เป็นน้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากความในใจของเอ๋ เธอยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีที่สังคมมองว่าพวกเธอเป็นคนสร้างปัญหาให้กับสังคม ทั้งๆ ที่พวกเธอเองก็ไม่เคยคิดที่จะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร เธอไม่เคยรู้จักนิยามความหมายที่มีผู้คนภายนอกตั้งให้มาก่อนแต่ก็รู้สึกชอบกับชื่อที่ตั้งให้ เพราะอยู่ดีๆ ก็มีชื่อเหมือนคนญี่ปุ่น
       
       “บางครั้งการแข่งรถก็จะมีการเดิมพันต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินทอง รถ หรือแม้แต่กระทั่งการใช้ตัวของผู้หญิงเป็นเครื่องเดิมพัน”
       
       เอ๋เปิดใจว่า มีเด็กผู้หญิงหลายคนที่ร่วมไปกับคาราวานเด็กแว้น ผู้หญิงบางคนถึงกับยอมเอาตัวเองเข้าแลก เมื่อถึงคราวที่แฟนหนุ่มแพ้เดิมพันจากการแข่งรถ แต่สำหรับผู้หญิงบางคนก็พร้อมที่จะไปกับชายหนุ่มที่แข่งรถชนะ เพราะถือว่ารถมอเตอร์ไซค์ของคนนั้นแรง แสดงว่าผู้ชายคนนั้นจะมีพละกำลังในการปกป้องหญิงคนรักได้
       
       อีโม ไม่ได้ฟอร์ม
       มาถึงกลุ่มเด็กที่มีการพัฒนาสายพันธุ์มาจากกลุ่มเด็กแว๊น คือ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “เด็กอีโม” เด็กกลุ่มนี้นอกจากจะชอบขับรถแต่งแล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่พวกเขารักเป็นชีวิตจิตใจคือ ชอบเล่นดนตรี โดยเล่นแนวเพลงของอีโม
       
       มีการสันนิษฐานว่า อีโมเกิดจากเด็กวัยรุ่นที่มีความซึมเศร้า ไม่พอใจสังคมรอบข้าง ครอบครัว หรือโรงเรียน มีความรู้สึกต่อต้านสังคม ส่วนแนวเพลงอีโมก็จะมีเนื้อหาแบบที่ต่อต้านสังคมหรือสื่อถึงความเศร้า การแต่งตัวแบบเด็กอีโมก็จะเน้นเสื้อผ้าสีดำ ไว้ผมยาวปิดหน้า ย้อมสีดำหรือแดงซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากเมืองผู้ดีประเทศอังกฤษ
       
       สำหรับประเทศไทยวงดนตรีที่มีการเล่นแนวอีโมที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในหมู่เด็กวันรุ่นผู้ชายในปัจจุบันนี้ก็คือวง retrospect ที่ถือได้ว่าทั้งแนวเพลงที่แรงและมีเนื้อหากินใจแทบไม่มีจังหวะให้หายใจ และที่พิเศษสุดคือสไตล์การแต่งตัวนั้นถือได้ว่าโดนใจวัยโจ๋ วัยที่หัวนมเพิ่งแตกพานเข้าอย่างเต็มรัก จึงทำให้วัยรุ่นเริ่มคลั่งไคล้หันมาแต่งตัวเลียนแบบ ทำให้มีทั้งเด็กอีโมของจริง และของเลียนแบบอยู่เต็มตลาดไปหมด
       
       การแต่งตัวของเด็กอีโมส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่แปลกและแหวกแนวไม่ค่อยเหมือนคนปกติเขาแต่งกัน ชอบใส่เสื้อยืดสีดำ บางคนจะใส่เสื้อโคทแขนยาวหนัง แถวบ่ามีแถบหมุดทู่ๆ กางเกงขาเดฟรัดๆ ใส่เข็มขัดสีขาว และนำหัวเข็มขัดมาไว้ด้านข้าง เพื่อช่วยให้เข็มขัดไม่ไปขูดกับกีต้าร์ หรือเบส ทรงผมจะเป๋มาปิดตาข้างหนึ่ง หรือไม่ก็ปิดทั้งหน้าให้มองอะไรไม่เห็น ผมบางคนก็จะดูยุ่งเหยิงเหมือนไม่ได้สระมาเป็นปี มักย้อมผมด้านหน้าหรือด้านหลัง ให้ตัดกับสีผมธรรมดา
       
       แต่ข้อดีของเด็กอีโม คือ มีนิสัยรักสงบ ไม่ก้าวร้าวต่อผู้ใหญ่ แต่ถ้ากับรุ่นเดียวกันก็ด่าไม่ยั้ง และที่สำคัญขาดไม่ได้คือพวกเขาจะรักสนุก เมื่อยามดูคอนเสิร์ตวงในดวงใจ
       
       “แอ๊บแบ๊ว” เทรนด์ของหญิงใสซื่อ
       
เมื่อไม่นานมานี้ มีคำพูดหนึ่งที่ติดริมฝีปากของเด็กวัยรุ่นทุกคน แทบได้ว่าถ้าใครไม่รู้จักคำนี้อาจจะกลายเป็นคนเชยระเบิดเลยก็ว่าได้ และคำคำหนึ่งก็ได้สั่งสมจนกลายมาเป็นการแสดงกิริยามารยาท ท่าทางที่ไม่เหมาะสม คือคำว่า “แอ๊บแบ๊ว” ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง และสั่นสะเทือนวงการครูภาษาไทยได้ไม่น้อย ชนิดที่ว่านักภาษาศาสตร์ และผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมถึงกับอดรนทดไม่ได้ กับการใช้ภาษาที่ผิดๆของเด็กไทย รวมทั้งการแสดงพฤติกรรมที่ดูเหมือนไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงในบ้านเรา เพราะการใช้ภาษาจะเชื่อมโยงไปถึงการพัฒนาจิตใจและสติปัญญาของคนในอนาคตได้
       
       แอ๊บแบ๊ว เป็นกิริยาวิเศษณ์ที่หาพบได้ง่ายตามร้านถ่ายรูปหรือตู้สติกเกอร์ทั่วไป ซึ่งในเว็บไซต์ไร้สาระนุกรมพิเดีย ได้ให้คำจำกัดความ “แอ๊บแบ๊ว” ว่าเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นในเพศหญิงช่วงแตกเนื้อสาวเป็นต้นไป มีเส้นบางๆกั้นไว้กับคำว่า “กระแดะ” “ที่เมื่อครั้งก่อนเคยถูกบันทึกไว้ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน” แอ๊บแบ๊วเป็นการแสดงออกทางอวัยวะต่างๆของร่างกาย ตลอดจนภาษาพูดที่มักออกเสียงไม่ชัดเจน และขณะนี้อาการนี้ได้แพร่ระบาดไวรัสไปทั่วทั้งเมืองไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย กะเทย หรือเพศใกล้เคียง
       
       ทางด้านครูภาษาไทยอย่างราชบัณฑิตหลังจากที่เห็นความหมายตามที่ไร้สาระนุกรมพิเดียโผล่ยั่วอารมณ์ให้ความหมายคำนี้ไว้ ถึงกับออกมาสวนกลับทันควันโดยได้ให้ความหมายของ “แอ๊บแบ๊ว” แบบเจ็บๆ คันๆ ว่าเป็นคำที่ผสมระหว่างคำว่า แอ็บนอร์มอล (abnormal) ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า ผิดปกติ มารวมกับคำว่า “บ้องแบ๊ว” ที่มีความหมายว่าน่ารัก ไร้เดียงสา เมื่อนำคำสองคำนี้มารวมกันจึงแปลว่า เป็นการกระทำที่ผิดปกติ ดูน่ารัก ไร้เดียงสา
       
       อาการของ “แอ๊บแบ๊ว” จะสังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ มักจะพยายามทำดวงตากลมบ้องแบ๊ว อยู่ตลอดเวลาทั้งๆ ที่ตาหยีแทบจะมองโลกไม่เห็นอยู่แล้ว สำหรับเด็กบางคนที่ตาหยีมาแต่กำเนิดก็ไม่ต้องกลุ้มอกกลุ้มใจอีกแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้มีคนทำคอนแทกต์เลนส์ Big Eye เพื่อสาวตาหยีที่ใส่แล้วตาจะกลมบ้องแบ๊ว สนนราคาคอนแทกต์เลนส์คู่ละ 500 บาท ใส่แล้วตาโตไปได้ 2 อาทิตย์ทีเดียว
       
       อีกอาการของแอ๊บแบ๊ว คือ ทำแก้มให้ป่องซึ่งเป็นอาการแอ๊บแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ได้ ริมฝีปากบนจะบางแล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันกระต่ายคู่หน้านิดๆ และยิงมุมปากให้เบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่งให้รูปหน้ามีลักษณะแก่นเซี้ยว แสนซน และรักษาระดับรูปปากไว้ให้ได้ตลอดเวลาที่พูดคุย เพราะเสียงที่ออกมาจะได้อ้อมแอ้มอยู่ในลำคอ และที่คัญต้องพูดให้ผิดอักขระมากที่สุดเช่น ใช่ไหม เป็น ชิเมะ?/ชิป้ะ(ใช่หรือเปล่า )/ชิม้า/ คิดถึงสุดๆ เป็น คิดถึงซูดซู๊ดดด จากจริงหรอ กลายเป็น อ๊ะ- จิ๊ง-งอออ เป็นต้น
       
       นอกจากนี้เพื่อเป็นการตอบสนองผู้ที่เริ่มหัดแอ๊บเบ๊ว เว็บไซต์ไร้สาระนุกรมพิเดีย ยังได้สอนวิธีการฝึกขั้นพื้นฐานอย่างง่ายๆ ให้คือ ยืนหน้ากระจก ฝึกทำหน้าให้แบ๊วที่สุด แล้วลองอ่านข้อความเหล่านี้อัดเสียงใส่เทปเอาไว้ ถ้าเปิดฟังแล้วรู้สึกว่าอยากจะกระโดดถีบตัวเองเมื่อไร แสดงว่าคุณสอบผ่านการ “แอ๊บแบ๊ว” ระดับเบสิกแล้ว
       
       อาการของเด็กแอ๊บแบ๊วนี้ถือว่าเป็นแฟชั่นที่แพร่ระบาดในหมู่เด็กวัยรุ่น เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมเอาอย่าง ที่อาจจะไม่ได้สร้างปัญหาอะไรมากมายให้กับสังคม แต่ก็ทำความหนักใจให้กับผู้ใหญ่และสังคมรอบข้างที่เริ่ม “ปลง” กับเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติที่จะพึ่งพาได้หรือเปล่า
       
       ฉีดวัคซีนป้องกันเด็กแนว
       
มีการวิจัยออกมาว่ากลุ่มเด็กที่มีปัญหาเหล่านี้เริ่มมีอัตราที่เติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประมาณ 5-10% โดยกลุ่มที่เสี่ยงซึ่งมีอยู่จำนวนถึง 1 ใน 5 มาจากเด็กชั้นมัธยมปีที่ 2 ซึ่งถือว่าเป็นโค้งแรกที่จะทำให้เด็กเริ่มมีพฤติกรรมเลียนแบบจากเพื่อน
       
       ทั้งนี้พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ จิตแพทย์วัยรุ่น มองว่าปัญหาของเด็กเหล่านี้เกิดมาจากสังคมแวดล้อมที่เริ่มมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันต้องมองกลับไปยังสังคมจุดเล็กๆ ที่เป็นบ่อเกิดของปัญหาคือ “ครอบครัว” ซึ่งเด็กส่วนหนึ่งมาจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน หรือครอบครัวที่พ่อแม่ให้ความสำคัญในเรื่องวัตถุนิยม ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวจนแทบไม่มีเวลาให้กับลูก
       
       สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กสมัยนี้มีปัญหาทางอารมณ์มากที่สุด พร้อมจะแสดงออกโดยพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เรียกร้องความสนใจในทางลบ แถมปัจจุบันยังมีคนดังในสังคม ไม่ว่าจะเป็นดาราหรือนักร้อง ที่มักเป็นแบบอย่างที่ผิดให้กับเด็ก ขณะที่สังคมที่ดีๆ กลับขาดแคลนฮีโร่ที่เป็นต้นแบบให้กับเด็กๆ
       
       ในรายที่เด็กเริ่มมีพฤติกรรมที่ก่อกวนสังคมจนกลายเป็นตัวอันตรายนั้น พญ.อัมพรกล่าวว่าเด็กพวกนี้ไม่เพียงแค่เลียนแบบเท่านั้น แต่กำลังเริ่มป่วยทางจิต “มีคนไข้มาปรึกษาหมอเรื่องลูก ซึ่งมาจากครอบครัวที่พ่อแม่เลิกกัน กว่าจะรู้ว่าลูกไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซน์ก็ตอนที่เด็กก้าวร้าวผลักแม่จนหกล้ม เราเรียกว่าอยู่ในภาวะจิตเวช หรือภาวะเด็กดื้อดึง มีปัญหาทางจิตจนกลายเป็นการต่อต้านสังคม”
       
       การเยียวยารักษานั้น พญ.อัมพรชี้แนะว่าบางรายถ้ามีภาวะซึมเศร้าแทรกซ้อนอยู่ อาจจะต้องให้ยารักษา แต่การรักษาที่ได้ผลนั้นคุณหมอแนะว่า
       
       “โรคอย่างนี้เราต้องใช้ยาใจในการรักษาลูกเรา พ่อแม่ต้องพยายามให้ลูกมั่นใจว่าเรารักเขา แม้ว่าพูดจะง่าย แต่หมอรู้ว่าทำยากมาก พ่อแม่หลายคนเสียน้ำตาไปมากในช่วงเยียวยาลูก แต่ก็ต้องอดทน แม้การรักษาที่ผ่านมาลูกอาจจะไม่ได้พลิกพฤติกรรมมาเป็นเด็กเรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้ตามที่พ่อแม่อยากได้ แต่เด็กจะเริ่มดีขึ้น คือเที่ยวน้อยลง อยู่บ้านได้นานขึ้น พูดจาดีขึ้น”
       
       โรคนี้ไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่ความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่และครอบครัวจะกลายเป็นวัคซีนป้องกันอย่างดีที่จะไม่ให้เด็กหลงทาง ซึ่งพ่อแม่ต้องให้ต้นทุนที่ดีกับลูก ในช่วงที่ลูกมีอายุ 5-10 ปีที่กำลังเรียนรู้นั้นพ่อแม่ควรจะใกล้ชิดและป้อนสิ่งดีๆ ให้กับลูก แต่ถ้าปล่อยปละละเลยในช่วงนั้นไป เมื่อลูกก้าวเข้าสู่วัยรุ่นและมีพฤติกรรมที่แปลกแยกจากสังคมไป ถึงตอนนั้นการดึงลูกกลับบ้านก็คงทำได้ยากเสียแล้ว
       
       *****************

 ที่มา : ผู้จัดการรายวัน     17 สิงหาคม 2550 12:56 น.


 

หมายเลขบันทึก: 120204เขียนเมื่อ 17 สิงหาคม 2007 13:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 เมษายน 2014 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท