"One Ring to rule them all, One Ring to find them, One Ring to bring them all and in the darkness bind them." ท่านที่เป็นแฟนมหากาพย์นิยายหรือภาพยนตร์เรื่อง เดอะลอร์ด ออฟ เดอะริง คงจะคุ้นเคยกันดีกับประโยคภาษามอร์ดอร์เขียนด้วยภาษาพรายเอเรเกียนที่ปรากฎบนแหวนของจอมอสูรเซารอน เมื่อท่านได้พิจารณาถึงระบบการค้าที่พัฒนาขึ้นมาโดยสหรัฐอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกและที่ได้ประกาศแก่ชาวโลกในสมัยของ ประธานาธิบดีจอร์จ บุช ผู้พ่อ จะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งในบางประการ
คำเตือน: ผู้เขียนมีความเห็นเป็นกลางและมิได้ต่อต้านระบบที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด ผู้เขียนมีเพียงเจตนาเพื่อให้คนรุ่นใหม่สนใจและตื่นตัวต่อระบบการค้าของประเทศและโลกในอนาคตเท่านั้น อีกทั้งมิได้เทียบระบบเทรดและระบบของสหรัฐเป็นการตกต่ำหรือเลวทราม บทความนี้เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพเพื่อกระตุ้นการตื่นตัวในเรื่องผลของข้อตกลงการค้าเสรีและหวังใหรัฐบาลเพิ่มความระมัดระวังเท่านั้น
หลังจากสงครามโลกประเทศต่างๆได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบเศรษฐกิจและเงินตรา
ซึ่งเมื่อใดที่ตกต่ำยุทธศาสตร์การสร้างสงครามจะถูกนำมาใช้จนก่อให้เกิดสงครามโลก
ดังนั้นเพื่อพัฒนาระบบการเงินและการค้าระหว่างประเทศอย่างยั่งยืนจึงเกิดการประชุม
Bretton Woods Conference เพื่อจัดระบบเงินตราเกิดเป็น IMF และ World
Bank และมีการพัฒนาระบบการค้าระหว่างประเทศซึ่งต่อมาได้เกิด
ข้อตกลงมาราเกชและเป็น GATT-WTO ในที่สุด
เป็นหอคอยคู่เพื่อการสนองระบบโลกาภิวัฒน์ (สำหรับแฟนลอร์ดฯคงเป็น
ออร์ธังค์และบารัดดูร์แต่ก็ไม่ได้ล่มสลายไป) เนื่องจากหัวข้อ Free
Trade Area ผมจึงจะเน้นในด้านผลประโยชน์ของ FTA และระบบ GATT (แกตต์)
เป็นหลัก
ระบบแกตต์มีการตกลงกันเพื่อกำจัดอุปสรรคทางการค้า (Trade Barrier)
ระหว่างกันโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาคตามหลัก NT [1] และ MFN [2]
แต่อย่างไรก็ดีกลุ่มประเทศผู้ร่วมก่อตั้งระบบแกตต์ยังคงเล็งเห็นความสำคัญของระบบการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค
และอิสระบางประการในการสร้างความแข็งแกร่งแบบกลุ่มบล็อค
จึงเว้นที่ไว้ให้แก่สมาชิกเพื่อเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจพิเศษระหว่างกัน
กล่าวคือ มาตรา 24[3]
ของแกตต์ได้อนุญาตให้ประเทสภาคีสามารถทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างกันได้
โดยไม่ต้องให้สิทธิพิเศษนั้นๆแก่สมาชิก WTO อื่น
แต่แท้จริงแล้วยังแฝงไว้ด้วยความพยายามที่จะใช้เป็นลู่ทางในการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่อาจทำได้ผ่านแกตต์และ
WTO ด้วย
(เปรียบเหมือนการใช้แหวนที่หล่อขึ้นเพื่อครอบงำผลักดันผลประโยชน์ดังจะได้อธิบายต่อไป)
ในที่ประชุมเพื่อจัดตั้ง WTO และหลังจากนั้นนับแต่รอบ สิงคโปร์ ถึง
ฮ่องกง
ประเทศที่พัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาพยายามผลักดันมาตรการต่างๆเข้าสู่
WTO เช่น ในเรื่องแรงงาน
(เพื่อกีดกันสินค้าราคาถูกจากประเทศที่มีต้นทุนทางสังคมและสวัสดิการต่ำ),
เรื่องรวมการเปิดเสรีทางด้านการลงทุนและการทำธุรกิจต่างๆ
(เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ MNE (Multi Nationals Enterprise)
หรือกิจการข้ามชาติของตนในการลงทุนในต่างประเทศ)
ซึ่งในเรื่องแรงงานนั้นไม่ประสบความสำเร็จและถูกโยนไปให้แก่ ILO
ส่วนเรื่องการเปิดเสรีการทำธุรกิจก็มีเพียง GATS หรือ TRIMs
ออกมาซึ่งก็ไม่ถือว่าเอื้อประโยชน์ได้สมความตั้งใจ,
เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ภายหลังการเกิดข้อตกลง TRIPs
ในรอบโดฮาแล้วเมื่อตลาดสินค้าทรัพย์สินทางปัญญาขยายตัวมาก
สหรัฐอเมริกาพยายามผลักดัน (TRIPs Plus หรือทริปส์ผนวก)
เพื่อเพิ่มระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแต่ก็ได้รับการต่อต้านจากประเทศกำลังพัฒนาตลอดมา
จึงไม่สามารถฝ่าแนวต้านในที่ประชุมออกมาได้
จากเหตุดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการทำ FTA
ของสหรัฐจะมีการสอดแทรกเรื่องอื่นๆทั้งหลายที่กล่าวมาเข้าไปอยู่เสมอโดยอาศัยอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าประกอบกับตลาดขนาดใหญ่ที่ใครสามารถเจาะเข้าไปได้ก่อนย่อมจะได้เปรียบ
(เสมือนการที่เซารอนแจกแหวนที่มีอำนาจพิเศษแก่ราชามนุษย์
เมื่อพวกราชาใช้อำนาจแหวนบ่อยๆก็ถูกสิ่งที่แฝงไว้ครอบงำและดึงเข้ามาอยู่ในโลกของด้านมืด
ลองดูการพัฒนาแนวคิดของสหรัฐต่อไปนี้)
แนวความคิดทางด้านการจัดทำ FTA
ในลักษณะกลุ่มของของสหรัฐเริ่มต้นในสมัยของรัฐบาลบุชผู้พ่อ
โดยมีการแถลงอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการทำข้อตกลงพิเศษทางการค้ากับประเทศคู่ค้ารายสำคัญ
ผลกระทบจากการทำ FTA ระหว่างกันจะเกิดเป็นระบบที่เรียกว่า “Hub and
Spokes System” (ผู้เขียนอยากเรียกว่า The Lord of The Ring
Effect)กล่าวคือ
หากมีการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีแบบทวิภาคีหลายประเทศ
ประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุด (สหรัฐอเมริกา) จะเป็นศูนย์กลาง
(HUB) (เป็นผู้ครองแหวนแห่งอำนาจ)
ทางการค้ารับสินค้าที่ส่งเข้ามาขายในอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำเป็นพิเศษกว่าแกตต์และประเทศอื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมในวงล้อ[4]
เช่นไทยกับสหรัฐในบางประเภทสินค้า
สหรัฐอเมริกาจะเข้ามาลงทุนตั้งบริษัทในไทยและบริษัทแม่จะขายสินค้าแบบวัตถุดิบบางส่วนให้เพื่อมาแปรรูปในไทย
และไทยก็จะส่งสินค้านั้นกลับไปยังสหรัฐ
และอาจผลิตต่อยอดในสหรัฐเพื่อส่งขายต่อไปยังประเทศอื่นที่มีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐหรือไทยต่อไป
ดังนี้การค้าที่เกิดจากการลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้าต่อกันนั้นจะมีอัตราภาษีระหว่างกันต่ำกว่าอัตราที่ลดลงตามแกตต์จึงเกิดความได้เปรียบอย่างมากและเป็นการกีดกันประเทศอื่น
แต่ประเทศที่มีเศรษฐกิจด้อยกว่าและเป็นผู้ส่งออกสินค้าย่อมอยากอยู่ในวงล้อ
เพื่อส่งขายสินค้าและรับการลงทุนจากประเทศศูนย์กลางและประเทศที่ตนมีข้อตกลงการค้าทวิภาคีด้วย(อยากได้แหวนเพื่อเพิ่มอำนาจตนโดยรับพลังจากแหวนที่อิงจากแหวนแห่งอำนาจ
เช่นแหวน 9วงของมนุษย์ และแหวน 7วงของคนแคระ) (ดูตาราง 1) (FDI
คือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมาตั้งเป็นบริษัทลูกในไทย)

ทางด้านการลงทุน ประเทศไทยมีข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาค หรือ RTA (Regional Trade Agreement) อยู่กับอาเซียน มี FTA อยู่กับ ออสเตรเลีย จีน บาห์เรน และอีกหลายประเทศในอนาคต เช่น ญี่ปุ่น ฯลฯ ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็น Hub ทางด้านการลงทุนจากนานาประเทศที่มีข้อตกลงทางการค้ากับไทยเนื่องจากไม่มีการเก็บภาษีหรือเก็บน้อยในการทำการขายสินค้าระหว่างบริษัทในเครือ (Intra Firm Trade) ทั้งยังเป็นการขยายตลาดเป็นตลาดขนาดใหญ่เพื่อรองรับสินค้า ดังเช่นกรณีต่อไปนี้
จากตัวอย่างข้างต้นหากในอนาคตไทยได้บรรลุข้อตกลง FTA กับ สหรัฐ ญี่ปุ่นและจีน แล้วนั้น การที่ญี่ปุ่นจะส่งรถยนต์เข้าไปขายใน สหรัฐ จีน หรือประเทศอื่นในอาเซียนอาจต้องเสียภาษีจำนวนมาก แต่เมื่อประเทศไทยมี RTA (AFTA) กับกลุ่มประเทศอาเซียนโดยมีภาษีนำเข้าร้อยละ 4 และมีกฎวัตถุดิบท้องถิ่น Local Content ที่ 40% ญี่ปุ่นอาจตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเพื่อส่งขายประเทศที่ 3 ที่มีตลาดขนาดใหญ่เช่น อาเซียน, จีน และสหรัฐ [5] เช่น การขายรถแก่มาเลเซียที่คิดภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ไม่ใช้ส่วนประกอบในประเทศในอัตราร้อยละ 200 นั้นจะเสียภาษีเพียงร้อยละ 4 ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนและราคาขายรถในมาเลเซียได้อย่างมหาศาล หรือการขายรถในสหรัฐ เมื่อสหรัฐต้องการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ของตนเอง สหรัฐอาจมีการใช้ Antidumping Duty หรือภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดเพื่อเพิ่มภาระภาษีแก่ผู้ประกอบการรถยนต์ญี่ปุ่น หรือมาตรการเซฟการ์ดเพื่อจำกัดการนำเข้า ให้แข่งขันได้ยากลำบากรวมทั้งอาจถูกจำกัดรูปแบบการทำธุรกิจโดยมาตรการการลงทุนภายในสหรัฐอมเริกาและภายในมลรัฐต่างๆอีกด้วย ดังนั้นการเข้ามาทำ FDI ในประเทศไทยจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการทำเจาะตลาดประเทศที่อยู่ใน HUB AND SPOKE SYSTEM หรือระบบของแหวนแห่งอำนาจ โดยเฉพาะในตลาดของ HUB ตัวแหวนของเซารอน (USA) ที่มีอิทธิพลทางการค้าสูง หรือในตลาดแบบภูมิภาค และประเทศที่เป็น HUB เองก็สามารถสั่งซื้อวัตถุดิบหรือลงทุนในประเทศที่เป็น TRADE SPOKE แหวนของราชามนุษย์หรือภูติแห่งแหวน เพื่อผลิตสินค้าที่ได้เปรียบกว่าทางด้านต้นทุนทางภาษีและส่งขายในประเทศ Spoke อื่นๆ เช่น การที่บริษัทอเมริกาผลิตชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิกส์ในไทย แล้วขาย Intra firm trade ให้แก่บริษัทแม่มาประกอบเป็นมือกลอิเล็กทรอนิกส์ใช้ในอุตสาหกรรม แล้วส่งขายไปยังออสเตรเลียย่อมน่าจะมีราคาถูกกว่าสินค้าของรัสเซียที่เป็นประเทศนอกระบบ HUB AND SPOKE ทั้งนี้การเข้าอยู่ใน HUB แม้มีผลดีทางด้านจำนวนการเข้ามาลงทุน (FDI INFLOW) แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยอำนาจและสิทธิต่างๆในการควบคุมการลงทุน จากต่างชาติ (นโยบายจะถูกกำหนดโดยปัจจัยภายนอก หรือระบบของแหวน)
ผลของการที่ไทยเป็นศูนย์การลงทุน ย่อมเกิดการจ้างงาน มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาเสริมระบบเศรษฐกิจ ผู้ผลิตสินค้าพื้นฐานของไทยมีตลาดรองรับมากขึ้น รัฐสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น เป็นการเพิ่มรายได้แก่รัฐในภาพรวม แต่เงินได้ย่อมไหลออกไปสู่ต้นทาง ณ ต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาลเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีประเทศไทยยังไม่มีศักยภาพพอที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ทางเดียวจากการรับการลงทุน แต่เจ้าของกิจการไทยจำนวนน้อยเท่านั้นที่มีศักยภาพพอจะไปทำ FDI ในประเทศอื่นๆแล้วดึงเม็ดเงินกลับเข้ามาในประเทศ อีกทั้งนโยบายดึงดูดนักลงทุนของไทยนั้นมีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลาหลายปีเพื่อดึงนักลงทุนให้มาลงทุนในไทยไม่ใช่จีน หรือเวียดนาม และผู้เขียนเองก็เห็นว่าการยกเลิกนโยบายดังกล่าวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยเพราะต้องระวังการสูญเสียนักลงทุนให้แก่ประเทศคู่แข่งด้านการรับการลงทุนอื่นๆ
สุดท้ายผู้เขียนเห็นว่า เกมนี้เป็นเกมที่อัตรายและเดิมพันด้วยชีวิต-ชะตากรรมของชาติ เรามีทางเลือกคือเข้าสู่ระบบ FTA หรือจะไม่ทำเสียเลย แต่เราเลือกเข้าสู่ระบบการทำ FTA โดยปราศจากความพร้อม เมื่อเราเข้ามาแล้วเราต้องชดเชยความไม่พร้อมนั้นด้วย การต่อเชื่อมอย่างเต็มรูปแบบกับประเทศที่ส่งออกการลงทุนทั้งหลาย เช่น ญี่ปุ่น และประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่เพื่อสร้างตลาดขนาดใหญ่กว่าเพียงแค่ในประเทศหรือภูมิภาค แล้วรอรับการลงทุนเป็นศูนย์การทำ FDI แต่ทั้งนี้เพื่อตักตวงประโยชน์อย่างเต็มที่ ประเทศไทยต้องเจรจาอย่างรอบคอบ ผู้ผลิตทั้งหลายในไทยต้องพัฒนาคุณภาพ ผู้ให้บริการของไทยต้องสร้างแบรนด์และยกระดับตัวเพื่อให้สามารถออกไปดึงผลกำไรในต่างประเทศในลักษณะบรรษัทข้ามชาติ และผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวให้สามารถแข่งขันได้อย่างเร็วที่สุดก่อนจะพ่ายแพ้ให้ต่างชาติ และกลายเป็นภูติแหวนหรือนาซกูลของสหรัฐ ทำไปเถอะ FTA แต่ต้องทำให้ครอบคลุมเขตการค้าและประเทศผู้ลงทุนสำคัญอย่างรอบคอบ หากต้องเป็นภูติแหวนจริงๆก็ขอให้เป็นราชาขมังเวทย์แห่งอังค์มาร์ก็แล้วกัน