บทเรียน จากค่ายเรียนรู้ หรือ ค่ายพัฒนาพี่เลี้ยง (3)


การสอนเรื่อง "จิต สติ ความคิด" นั่นเอง จัดว่า เป็น The most essential part ของ ทุกการเรียนรู้ในจักรวาล

Module 3 :  EQ camp

            EQ camp  คือ  การสอนเรื่อง "จิต สติ ความคิด" นั่นเอง จัดว่า เป็น The most essential part  ของ  ทุกการเรียนรู้ในจักรวาลเลยนะครับ

           แต่ จู่ๆ จะ พา ผู้เรียน โผล่มาเรียน เรื่อง แนว จิตดูจิต เนี่ย   มันอาจจะเร็วไป  ผู้เรียนจะกลายเป็นปลาช็อคน้ำ   อาจจะขั้น ด้วยการพาไปเจอ "คนดี"ก่อน (Module 2)    เช่น 

  • ไป พระราชวังสวนจิตรลดา  ไปดู งานทรงของพระองค์ท่าน   ไปเห็น การทำงานแบบ "วงจรเรียนรู้" ของ ในหลวง ฯ  ..... พระองค์มี  ๕ ประการของ Senge ครับ  ( จะไม่มีครบได้ไงล่ะ  ก็เพราะ ในหลวง ฯ ทรงมี ทศพิทราชธรรม เจ๋งกว่า ของ Senge เป็นไหนๆ) ..... ทรงมีการ เสด็จไป ที่จริง ทรงไปคุย แอบไป (เสด็จประพาสต้น)  ฯลฯ  เอามา ผสมกับทฤษฎีที่ทรงรู้ ทรงอ่าน ถามผู้รู้    แล้ว ทรง "ตกผลึก"  แล้ว ก็ลองทำ เป็น small project ที่สวนจิตรลดา  นี่เอง  ....    พวกปูนแก่งคอย ไปดู  แล้ว "เข้าใจ" กระบวนการเรียนรู้มากขึ้น     และผมจะเน้น Findings พอๆ กับ Feeling      
  •  ไป มหาชีวาลัยอิสาน    ไปเจอ คนเป็นๆ ที่รู้จักการให้   เรื่อง "ธรรมะ" เราไม่พูดกัน   เราพาไปดู คนเป็นๆ  คนที่รู้จักให้ .....  หรือ ไป ชุมชนเข้มแข็งต่างๆ   ไป KM village ต่างๆ  

    ก่อนจะพาไป EQ camp  ต้อง ดู พฤติกรรมกันก่อนว่า  เริ่ม มีใจที่นุ่มนวลหรือยัง

    สอนหนังสือเด็ก ก็เช่นกัน  ดูพฤติกรรม ที่ "ใจ"  พวกเขาก่อน    คนดีสำคัญกว่าคนเก่ง    เพราะ เมื่อ คนดี คนมี "จิตอาสา" "จิตสาธารณะ" มารวมตัวกัน  จะ "เก่ง"กว่า คนเก่งสะอีก

    ผมนึกถึง ครูไทย  ที่  ชอบ กรอกใน สมุดรายงานเด็ก  ในช่อง "จิตพิสัย"ว่า  ดี    ดี   ดี    ดี    ฯลฯ ยกห้องเลยครับ .....  ไม่รู้ว่า ครูท่าน  ประเมินจริง  หรือ มั่วกรอกลงไป ......  เอาส่วนที่สำคัญที่สุด มาทำให้ไม่สำคัญได้ไงเนี่ย !!!

    สังคมครู อาจารย์ นักวิชาการ บางแห่ง  ยังเป็นสังคมที่คุยกันดีๆไม่เป็น   ก็ยากที่ได้ คนดี  ยากที่จะได้พลังของทีม   ยากที่จะเรียนรู้ ยากที่จะพัฒนา   ฯลฯ จะมีก็แต่ ทะเลาะกัน ข่มกัน  แย่งงานวิจัย ลอกผลงาน  เล่นพวก  ถ่วงเงินค่าวิจัย   สร้างภาพ  มั่วตัวเลข  หลอกใช้นักศึกษา   ฯลฯ     อย่างน่าละอาย

   ************************************************************

  ก่อนไป EQ camp   ผมมัก จะสอน หลักธรรม ทางพุทธศาสตร์    เอาแบบง่ายๆ แนวดิจิตอลกันเลย

   เปิดโอกาสให้ถาม ในคำถามที่ พวกเรา ไม่กล้าถามพระ

   ขั้นตอนนี้ ยากพอควร

  คนที่มาจากศาสนาอื่น  ก็อย่าอคติ กับ ทางพุทธศาสตร์เลย   จริงๆแล้ว  หลักการทำ จิต ทำใจ แต่ ละศาสนา  ก็มีทั้งนั้น     แต่ บังเอิญ คนฟังส่วนใหญ่เป็นพุทธ  ก็อิงพุทธไว้ก่อน

    คนที่น่ากลัวมากๆ คือ  คนไม่เอาสักศาสนาเลย    พวกนี้ มี "ความคิดส่วนตัว"เยอะมาก   พวกเขา อ่านเอง เออเอง  "ตกผลึก"เอง  ไม่ ลงมือทำ ก็เลย ไม่ครบวงจร Nonaka สะที

   อ่าน ตำราธรรมะเอง นี่ก็น่ากลัวนะครับ  บาลีไม่ผิด แต่ คนตีความผิดนี่สิ มากัน "หลง"  ไปใหญ่เลย    พระท่าน จึงให้ "ทำเอง ก็จะรู้เอง"

   **********************************

    ไป EQ camp  ผมเลือก  วัดป่าธรรมอุทยาน  ที่ ขอนแก่น  ด้วยเหตุผล หลายประการ  เช่น

  • ผมเรียนมาจาก หลวงพ่อกล้วย  ที่วัดนี้    ผมก็ถนัดแนวนี้   คือ จิตดูจิต  และ ฝึกในป่าช้านี้มาก่อน 
  • วัดนี้  ไม่มีกฏกติกามากมาย   กิน นอน ที่พัก  ยอดเยี่ยม      มาฝึกทำ มาปล่อยวาง  ไม่ใช่ มากดดัน  ไม่ใช่ มาแบกกติกา
  • ป่าช้าที่วัดป่าธรรมอุทยานนี่ ปลอดภัย  เพราะ ชาวบ้านแถบนั้นก็ฝึกที่นี้  ..... แต่ บางวัด  เราไปนั่งในป่าช้า เขานึกว่าเราเป็นผี จะโดนปืน โดนหนังสติก ยิงเอา  อันตรายเปล่าๆ
  • ฆราวาสที่วัด  ก็ตอบคำถามในการปฏิบัติธรรมได้หลายคน  โดยเฉพาะ พวกป้า  สามารถทำให้ผู้เรียนหญิงถามธรรมได้ง่าย  เป็นแบบ  Lady talk กันเรื่องธรรม    ไม่ต้องห่วงเรื่องความไม่เหมาะสมในการไปถามพระ
  • วัดป่า ร่มเย็น กว้างขวาง    ฯลฯ  ทำให้ ชิวๆ ได้ง่าย 
  • ป่าช้า คือ โหมดช้า   ทำให้เห็น กระบวนการทำงานของขันธ์ ๕  ได้ชัด    เรื่องความเข้าใจขันธ์ห้า สำคัญมากๆๆๆๆ   เพราะ เรามีหน้าที่ ละขันธ์ห้า     .....  ในการทำงาน หรือ อยู่ที่บ้าน  มันเป็นป่าเร็ว  เป็น โหมดเร็ว    ยากต่อการที่จะเห็นและเข้าใจขันธ์ห้า ว่าเป็นอย่างไร  ในทางปฏิบัตินะ  ไม่ใช่ อ่านหรือท่องจำได้
  • ฯลฯ

 *********************************************************

ไปวันแรก  ผมจะไม่ให้ฝึกอะไรมาก  ให้นอน  พักผ่อน พักกาย  อย่า "โลภฝึก"     ให้มาวัด เพื่อ ปล่อย  เพื่อละ เพื่อวาง   

วางเรื่องภายนอกก่อน วางการ วางงานได้ แล้ว  ค่อยมาวางที่ใจ วางภายใน

หลวงพ่อกลัวย มักจะสอน ผู้มาใหม่ว่า  "เดินให้เป็น กินให้เป็น นอนให้เป็น"     นั่น คือ ฝึกมี สติ   ในทุกอิริยาบทให้ได้ก่อน

*************************************

การปฏิบัติธรรม ก็ไม่ยาก   เราต้องดู ว่าผู้เรียน จิตใจมาแค่ไหนแล้ว (ไล่จากต่ำไปสูง คือ  ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา) คือ 

  • ศรัทธา มีหรือยัง   ถ้ายัง   ก็ต้อง สอนเรื่อง กฏแห่งกรรม   ฯลฯ  เหนื่อยหน่อย  ก็ต้องใจเย็น  หลอกล่อไป
  • มีศรัทธาแล้ว  มี "ทาน" หรือยัง  คือ  การให้ การเสียสละ    การยอมหรือยัง
  • ทานภายนอก คือ  ให้เงิน ให้สิ่งของ แก่ผู้อื่น    ยังให้แบบหวังผล  ให้แบบสร้างภาพ  ให้แบบ "กลัว" (จะตกนรก กลัวชาติต่อไปจะจน) หรือเปล่า
  • ทานภายใน คือ  ให้อภัย  เห็นใครไม่ฝึก ก็อย่าไปต่อว่าเขา   เราก็ฝึกของเราไป    เสียสละ  ช่วยทำครัว กวาดลานวัด  ล้างห้องน้ำ ฯลฯ  ทำได้หรือยัง   หากยังทานภายในไม่ได้   ฝึกปฏิบัติไป ก็ไม่ก้าวหน้า
  • การฝึก "ทาน"  จึงสำคัญมากๆ    ผม ชอบโรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนอยู่นะ  แม่ชีและครูสอนให้เด็กประถม  เก็บสะสมเงิน  เจียดค่าขนม  เอาไปช่วยเหลือคนจน คนพิการ ฯลฯ   เด็ก เห็นครู  ผู้ใหญ่ เสียสละ  พวกเขา จะทำตามเอง 
  •        หลายๆโรงเรียน  ครูก็รับเงิน "ค่าแปะเจี๊ยะ" สะแล้ว   ผู้ปกครองทำให้ลูกเห็นว่า "เงินฟาดหัวครูได้"   แบบนี้  ไม่ใช่ ทานนะครับ
  •    เราเอากิเลส เอาเงิน ไปล่อผู้ปกครอง    สุดท้าย เราก็จะได้ผู้ปกครอง งกๆ เค็มๆ  กิเลสเต็มไปหมด  ก็เพราะ ผู้บริหารโรงเรียน ก็ งกๆ เค็มๆ เช่นกัน  ......  นกขนเดียวกัน จะบินไปด้วยกัน
  • จากทาน ก็มา ศีล     มีสองแบบ คือ ศีลภายนอก   สำหรับฆราวาส คือ ศีลห้า   ทำได้หรือยัง     ในขณะรักษาศีลนี่แหละ ถ้ามีสติ  จะเห็น ตัวความคิดชั่วร้าย ผุดขึ้นมาชวนให้ทำผิด 
  • ศีลภายใน  คือ จิตว่าง   เป็นศีลที่สำคัญที่สุด
  • ภาวนา  แปลว่า พัฒนา   ที่ผมเน้นมากๆ คือ ภาวนา = ชนะจิต  นั่นคือ  เอาชนะจิต  ด้วยการมี "สติ"    เอาสติไปทำงานแทนจิต  ปล่อยจิตให้ว่าง  
  • สมาธิ  ที่แท้จริง อยู่ที่ สมาธิในการรักษาจิตให้ว่าง   

ผมมักจะเริ่ม ที่ "สัมมาทิฏฐิ" ก่อน เพราะ เป็นตัวแรก  ในมรรคมีองค์แปด     สัมมาทิฐิ เปิดออกได้   สัมมาที่เหลืออีก ๗ องค์ก็จะไหลมาเอง

สัมมาทิฏฐิ นี้ คือ การแยกรูป แยกนาม  หรือ พูดง่าย คือ แยกแยะออกในทางปฏิบัติว่า อ๋อ นี่เอง จิต  นี่ สติ  นี่ความคิด     ทั้ง สามตัวเขาทำงานร่วมกัน แยกกันได้อย่างไร  ? 

*******************************

ผมเอา หลักการ LO & KM  ไปใช้  ในการปฏิบัติธรรมด้วย  เพราะ จริงๆแล้ว คนที่เป็นคนเก่งที่สุดด้าน LO & KM  ในความเชื่อของผม คือ   พระศาสดา ทุกพระองค์นั่นเอง

ใช้เครื่องมือ เช่น เล่นละครขันธ์ ๕   /  AAR หลังจากออกมาจากป่าช้า  / World cafe   เป็นต้น

**********************************

การพาเข้าไป นั่งในป่าช้า ทีละคน   ตอนกลางดึก    ก็เพื่อให้พวกเขา แยก จิต สติ ความคิด  ให้ได้นั่นเอง

หลายคน  ข่ม  หลอกตนเอง  ก็ เลยหมดโอกาสที่ จะเห็น "จิต สติ ความคิด" ไปอย่างน่าเสียดายจริง   .....   หลายคน อยากจะ show off ว่าเจ๋ง  ไม่กลัว  ก็เลยพลาดไป .......  หลายคน กลัวมาก  ก็ไม่ต้องไปที่ป่าช้าก็ได้   เพราะ ตอนกลัวนั่นแหละ   เห็นจิตเกิดหรือยัง เห็นความคิดปรุงแต่งหรือยัง

คนที่อยู่ โหมด "รบ"   โหมด "ป้องกันตัว"  โหมดเอาตัวรอด  โหมดขี้โม้  ฯลฯ   จะ เอาชนะการนั่งป่าช้า  ด้วยการ ข่ม หลอกตนเอง ขนพระเครื่องไปเต็มคอ   อาศัยไฟฉายขนาดฉายหนังกลางแปลงได้   พาเพื่อนไปด้วย ฯลฯ   ก็จะพลาด  การเรียนรู้ ไปอย่างน่าเสียดาย   เรียกว่า "บุญมีแต่กรรมบัง" 

 

 

       

 

 

คำสำคัญ (Tags): #eq camp
หมายเลขบันทึก: 119351เขียนเมื่อ 13 สิงหาคม 2007 21:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:54 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

สุดยอดของ Module 2 คือการใช้ Tool ตามแนวจิตดูจิต เป็นการเปลี่ยนแปลง EQ ของคนตามทฤษฎีตัวยู ที่เปลี่ยนจากเดิมที่รับข้อมูลอะไรมาก็กระทำทันทีแบบขาดสติ ไปสู่การแขวนความคิดนั้นไว้ก่อนโดยมีสติเป็นตัวกำกับแล้วจึงค่อยตัดสินใจ (ตรงนี้แหละที่เป็นEQแนวพุทธ ที่หลักจิตวิทยาไม่ได้พูดถึง)

สุดยอดครับอาจารย์

  • เห็นด้วยกับอาจารย์ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองเรื่องคนดี กับคนเก่ง
  • ในองค์กรถ้าผู้บริหารแค่เราเฉลียวใจได้ก็ดีมากแล้วครับ เชื่อว่าน่าจะสามารถก้าวต่อไปได้ เลือกใช้ยาขนานไหนดีครับให้ผู้บริหารตาสว่าง

P   ใช่เลย  U Theory  ของ Otto Sharmmer และ Perer Senge และ คณะ  

จะคล้าย  8 habbits ของ Steven Covey

และ  ถ้า ศึกษา ขันธ์ห้า จะพบว่า  "ใช่" เลย

P   คาถา  จัดการ เจ้านาย  ไม่มีอะไรมาก

จัดการตัวเราก่อน   อย่าไปเกลียดเจ้านาย   เราจะจิตใจสดใส     มองว่า กรรมทำให้เราเจอนายแบบนี้

แผ่เมตตา  ให้เจ้านาย และ เทวดาประจำเจ้านายบ่อยๆ      น่าจะดีขึ้น

ใช้เทคนิค TL  กับเจ้านายให้มากๆ    รับรองจ๊าบ ครับ

  • ขอบพระคุณครับอาจารย์สำหรับคาถา และเทคนิค TL
  • ได้ผลจริงอย่างที่อาจารย์แนะนำไว้ครับ

อยากให้อาจารย์แปลTLด้วยค่ะ

ดิฉันเคยไม่ชอบเจ้านายบางคนเพราะดิฉันไปกำหนดให้ท่านเป็นอย่างที่เราคิด   ผลสุดท้ายท่านเป็นเจ้านายที่ช่วยดิฉันมากที่สุด   คนที่เราชอบกลับทำให้เราผิดหวังมาก     สุดท้ายจะสอนตัวเองว่าพยายามแผ่เมตตาให้เจ้านายมากๆเพราะท่านงานหนักกว่าเรามาก

อยากเรียนถามอาจารย์เรื่องเทวดาประจำตัวเจ้านายแปลว่าอะไรคะ     เมื่อไหร่เราถึงจะมีเทวดาคอยช่วยบ้างคะ?   (ตามหลักศาสนาค่ะ)

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

P

TL = total listening ครับ  ฟังเชิงลึก  ฟังแบบองค์รวม  ได้ทั้งทางโลก  คือ  เนื้อหา อารมณ์  เจตนา  และ โหมดของผู้พูด    ได้ทางธรรมด้วย คือ ดูจิตของเราด้วย

ทุกคนมีเทพ ประจำตัวครับ   แค่ก็อยู่ที่ว่าท่านจะ ช่วยเรา แค่ไหน    หากเราชั่วร้ายมาก ท่านก็ คงระอา   ถ้าเราดี ก็คงคุ้มครอง

 กรวดน้ำ  ไปให้เจ้านาย จะรับไม่ได้ เพราะ ยังไม่ตาย  สู้เดินไปหา เอาของไปให้ จะง่ายกว่า  หรือ เอาบุญไปฝาก

แต่ ส่งให้ เทพ ประจำตัวเจ้านาย  ท่านได้รับทันที   เรา ตีซี้ เอามาเป็นพวกเรา

หาก นาย เฟอะฟะ    เทพประจำตัวเจ้านาย จะได้  เคาะๆ เจ้านาย เตือนสติ บ้าง

 

สวัสดีค่ะ อาจารย์

      เรื่องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาของเจ้านายทำอยู่ค่ะ ยังงงตัวเองว่าเดี๋ยวนี้เราเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาดีขึ้นกว่าแต่ก่อน  วันนี้ยังนึกขำตัวเอง ตอนบ่ายฝนตกหนัก เจ้านายโทรเข้ามือถือ บอกว่าตอนนี้อยู่ สนญ. 1ให้เอาร่มไปให้หน่อย (อยู่คนละฝั่งถนนจะไปได้ยังไง หนูก็กลัวเปียกเหมือนกันนะคะ)  เลยตอบไปว่า ตอนนี้ต่อให้มีร่มก็เปียกค่ะ ตกแรงมากๆ พี่เขาบอกว่าต้องรีบข้ามฟากกลับมาประชุมอีกฝั่ง จากนั้นจึงถามว่าแถวนั้นมีใครให้ยืมร่มไหม พี่เขาบอกมี แต่เป็นของ รปภ. ที่ สนญ.1 พี่เขาไม่กล้ายืม โชคดีมากๆ ที่รู้จัก รปภ.ตึกนี้ เลยบอกพี่เขาว่า พี่บอกเขาเลยเดี๋ยวพนักงานชื่อส้มเอาไปคืนให้ตอนเย็น รปภ.จึงยอมให้ยืม (พอมีบารมีอยู่บ้าง)  เราเลยรอดตัวไป ไม่ต้องวิ่งเอาร่มไปให้เอง

เจอ เจ้านาย แบบ คุณหนู คุณนาย เสพนิยม  สะแล้ว

ก็ดีนะ อย่างน้อย ก็แสดงว่า ท่านขาดเราไม่ได้   ฮาๆๆๆ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท