อ่านตรงนี้ ตรงใจที่สุดค่ะ"การสื่อสาร" เป็นเรื่องสำคัญที่คนที่เรียนมาในสายวิทยาศาสตร์หรือแพทย์ส่วนมากมักมีจุดอ่อนตรงนี้
ปัญหาของแพทย์ มีอยู่ตรงนี้ไม่น้อย
แพทย์เป็นผู้ที่งานมาก บางทีอธิบายมาก ก็ไม่มีเวลา และยิ่งต้องตอบคำถามซ้ำๆกันบ่อยๆ ยิ่งทำให้ยิ่งอึดอัด ผู้ป่วยหรือญาติก็ไม่เข้าใจ หาว่าแพทย์ไม่อธิบาย
ไม่ใช่แต่แพทย์ พี่เองก็เป็น สมัยก่อน ต้องอธิบายอะไรซ้ำๆ หงุดหงิดค่ะ ทั้งๆที่พยายามควบคุมใจตัวเอง ไม่ให้เฉไฉง่ายๆ แต่ตอนนี้ ดีขึ้นมากๆ เพราะ พยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเมตตาให้มากๆ จะดีเอง
อาจารย์จะช่วยได้มากในจุดนี้ศาสตร์แห่งการสื่อสารวิทยาศาสตร์ หรือ Science Communication หรือ Public Communication of Science and Technology
ขอสนับสนุนค่ะ
พี่มีเพื่อนสนิทอยู่หลายคนที่อยู่คณะนิเทศจุฬา และทำเรื่องสื่อสาร แต่คนละแนวกับอาจารย์
มีเพื่อนชื่อ ร.ศ.วิภา อุตมฉันท์ เพิ่งกลับจากการไปทำงานเชิงวิจัยเรื่องการสื่อสาร ที่สถานีวิทยุปักกิ่ง ภาคภาษาไทย 2 ปี เขียนลงมติชนทุกอาทิตย์มานานแล้ว กำลังรวมเล่ม หนังสือเขาไม่ฮิตหรอก เพราะเป็นวิชาการ ส่วนใหญ่ นักศึกษา ซื้อไปใช้อ้างอิง แล้วเขียนจ.ม.มาขอบคุณว่า เพราะบทวิจัยของอาจารย์ หนูจึงได้ปริญญาโท--เอก แค่นี้ เพื่อนก็ดีใจแล้วค่ะ
แต่แนวของอาจารย์ จะป็นประโยชน์ทางสายวิทยาศาสตร์มากๆค่ะ ดีใจและยินดีด้วยที่อาจารย์สนุกกับการทำงาน และมีผลงานที่ยอดเยี่ยมค่ะ
เป็นโชคดีที่มารู้จักกับอาจารย์ค่ะ และคงจะมีโอกาสพบตัวจริงด้วย
ช่วงนี้พี่ยุ่งมากๆเลยเหมือนกัน แต่คอยเข้ามาเคาะประตูบ้านอยู่เสมอค่ะ ติดใจอาจารย์ มีเสน่ห์นะเนี่ย....!!
ดีใจมากๆ เลยค่ะที่รู้ว่าตอนนี้อาจารย์มีแรงบันดาลใจจะเขียนหนังสือว่าด้วยศาสตร์แห่งการสื่อสารวิทยาศาสตร์ให้เป็นผลสำเร็จ เพราะหนูก็คงพลอยได้รับอานิสงส์แห่งความดี ด้วยการได้รับการถ่ายทอดความรู้จากอาจารย์ไปด้วยค่ะ : )
บอกเล่าอีกนิด วันนี้หนูเพิ่งได้รับหนังสือปริศนาแห่งภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ตัวเองสั่งซื้อไป ยังอ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจมากค่ะ
ยิ่งแอบข้ามไปอ่านบทวิเคราะห์ในตอนท้ายๆ แล้วก็ให้รู้สึกกระจ่างขึ้นมาก เพราะก่อนหน้านี้ สารภาพว่าตัวเองก็ยังมองความสัมพันธ์ระหว่างความรู้วิทยาศาสตร์กับภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบด้วนๆ ทื่อๆ ด้วยการพยายามเอากรอบโลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์ไปอธิบายคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งอีกนัยก็คือ การพยายามสถาปนาให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลายเป็นวิทยาศาสตร์อีกแขนง ซึ่งมันไม่ได้ก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ มากไปกว่าการไปจัดการให้ความรู้ท้องถิ่นเหล่านี้มันเข้าที่เข้าทางและดูดีมีระดับในสายตานักวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้นเอง
หากอ่านจบแล้วคงจะมีประเด็นมารบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์อีกครั้งหนึ่งค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์ ดีใจมากที่ศาสตร์ที่เรียนมา ซึ่งเริ่มต้นจากปริญญาตรีที่เลือกเรียนการสื่อสารมวลชนเพราะแปลกดี ไม่เคยเรียนตอนมัธยม สาขาอื่นล้วนพอทราบว่าเป็นอย่างไร พอปริญญาโทก็ห่างจากสื่อมวลชน มาสู่เรื่องของการสื่อสารที่มองที่พฤติกรรม เช่นการจูงใจ การสื่อสารในองค์กร มาปริญญาเอกยิ่งจำเพาะ คือสื่อสารวิทยาศาสตร์ ที่พยายามทำความเข้าใจความสัมพันธ์และวิธีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับสังคม(Science and Society) ซึ่งทำไปทำมาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับโลกปัจจุบัน ตอนเรียนก็เรียนเพราะอยากรู้เท่านั้นค่ะ
ศาสตร์นี้จะช่วยสร้างนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ให้เป็นตัวกลางเชื่อมนักวิทยาศาสตร์กับสังคม และในอีกทางหนึ่งก็มีวิธีการสร้างทักษะในการสื่อสารให้กับนักวิทยาศาสตร์ และยังให้ความสำคัญกับการทำให้นักการเมืองหรือผู้บริหารระดับนโยบายมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ทั้งนี้ก็ไม่ลืมสื่อมวลชนที่จะมาเป็นแนวร่วมในการเผยแพร่เรื่องราวอย่างถูกต้อง ทันเวลาและน่าสนใจ หรือแม้แต่พิพิธภัณฑ์/ศูนย์วิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็นับว่าอยู่ในวงการเดียวกันค่ะ
เป็นศาสตร์ที่สนุกมากเพราะมีกลยุทธ์มากมาย
คงจะมีโอกาสพบคุณพี่และเพื่อนๆผู้ทรงคุณวุฒิ ให้นุชได้เรียนรู้อีกมาก รอให้คุณพี่พอมีเวลานัดเพื่อนฝูงพร้อมเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ หลังวันที่๒๐ สิงหาคมไปแล้วได้ทุกวันเลยค่ะ
ขอบคุณมากเลยค่ะที่เห็นน้องคนนี้มีเสน่ห์ ^-^
สวัสดีค่ะคุณหมอนิพัธ จริงค่ะที่มหัศจรรย์แห่งKMเบาหวานเริ่มด้วยความปราถนาดี เป็นสิ่งที่คุณหมอกับทีมงานได้ทำให้ประจักษ์ ส่วนหนังสือเป็นเพียงการทำให้เป็นตัวหนังสือ ให้เรื่องราวเป็นที่รับรู้ได้กว้างขวางขึ้น ดีใจที่ทุกคนhappy เพราะทีแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้ตรงใจผู้วานให้ทำหรือเปล่า เวลาน้อยมาก เขียนแล้วต้องส่งโรงพิมพ์กันเลย แทบไม่มีโอกาสให้แสดงความคิดเห็น แก้ไข ว่าชอบหรือไม่ชอบ โชคดีที่ออกมาใช้ได้
ดีใจมากค่ะที่สิ่งสำคัญที่ตัวเองมองว่าเป็นจุดที่สำคัญที่สุดคือการเรียนรู้บนฐานของความรักและความเมตตา เป็นสิ่งที่ตรงกับใจของคุณหมอและหนังสือได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจน
ต้องขอบคุณทีมงานอีกครั้งที่ทำให้การเขียนง่ายขึ้นมาก ทั้งการจัดให้มีโอกาสพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและการเขียนไว้ในบล็อกอย่างยอดเยี่ยมค่ะ
สวัสดีค่ะคุณพนิดา ความยินดีของครูบาอาจารย์ คือการได้ชี้นำ ได้เปิดมุมมองแก่คนรุ่นใหม่ ให้มีวิธีคิด ให้ศึกษาเพื่อความรู้ที่จะใช้ประโยชน์กับตนเองและสังคมอย่างแท้จริง
การที่คุณพนิดาตระหนักว่า การพยายามสถาปนาให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลายเป็นวิทยาศาสตร์อีกแขนง ซึ่งมันไม่ได้ก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ มากไปกว่าการไปจัดการให้ความรู้ท้องถิ่นเหล่านี้มันเข้าที่เข้าทางและดูดีมีระดับในสายตานักวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่านั้นเอง เป็นสิ่งที่ในฐานะผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ภูมิใจอย่างยิ่งค่ะ
อ่านแล้วอยากถามอะไรเพิ่มเติม ยินดีนะคะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์พี่นุช
ตามอ่านบันทึกนี้ตั้งแต่เมื่อวานค่ะพี่นุช แอมแปร์ยกมือสนับสนุนจนสุดแขนและรอจองอ่านล่วงหน้าแล้วค่ะ แค่ชื่อเรื่องก็ตรึงใจแล้ว
ศาสตร์แห่งการสื่อสารวิทยาศาสตร์
Science Communication
หรือ Public Communication of Science
and Technology
ชอบคำถามที่พี่นุชตั้งไว้จังเลย
1. การสื่อสารวิทยาศาสตร์คืออะไร
2. ประเทศไทยควรจะใช้ศาสตร์นี้อย่างไรจึงจะเหมาะสม (ไม่ใช่คิดและทำตามรูปแบบฝรั่งทุกอย่าง)
สุดยอดบูรณาการข้ามศาสตร์เลยค่ะพี่นุช ถ้ามองว่า "การสื่อสาร" เป็นวิชา ขณะเดียวกันแอมแปร์มองว่า การสื่อสารเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อน วิชา (ความรู้)และขับเคลื่อนชีวิต เป็นยาดำที่อยู่ในความรู้ทุกชุด เพราะการนำเสนออะไรก็ตาม นั่นคือการสื่อสารแล้ว แต่ต่างกันตรงที่ว่าเราจะมีศิลปะในการนำเสนอให้เหมาะแก่ประเภทของสารและองค์ประกอบแวดล้อมในการสื่อสารนั้นๆอย่างไร
แอมแปร์กำลังสนุกกับการจินตนาการเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ"การสื่อสาร"ที่(คิดเอาเองว่า)น่าจะบรรจุในชุดวิชา การศึกษาทั่วไป ระดับปริญญาตรี ซึ่งเป็นวิชาสำคัญที่จะปูพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ที่ทำให้อยู่ร่วมกับมนุษย์ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
วิชาเหล่านี้จะช่วยรับไม้ต่อมือจากมัธยม ช่วยให้เด็กไม่กลายเป็นนกหงษ์หยกที่หลุดพรูออกจากกรง แล้วก็บินกันเปะปะ เพราะวิชาเหล่านี้เป็นวิชาสอนคนให้เป็นคน ไม่ใช่ทำคนให้เป็น "นัก"
ถึงแม้วันนี้ แอมแปร์จะทำได้แค่เป็นครูยืนสอนหน้าชั้นธรรมดา แต่การสื่อสารช่วยให้แอมแปร์ได้พบกับกลุ่มคนที่มีแนวคิดคล้ายๆกัน ทำให้สบายอกสบายใจอยู่บ้างว่า หนึ่งเรา(คง)ปกติดี.. : ) สอง ยังมีคนอีกมากที่รอ...เหมือนเรา และเขาเหล่านั้นมองเห็น และได้พยายามทำ ในสิ่งที่ตนทำได้ อย่างสุดกำลัง แอมแปร์จึงทำโน่นทำนี่ไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
...และ รอ.... เช่นกัน...
เคยมีอยู่วิชานึงในราชภัฏค่ะพี่นุช ชื่อวิชาการคิดและการตัดสินใจ แอมแปร์ดีใจไชโยมาก เพราะเห็นทางสว่างในการการสร้างคนแล้ว เมื่อสอนวิธีคิดแบบต่างๆ ฝึกให้คนรู้จักตัดสินใจ โดยความรู้ที่ใช้การได้ในชีวิตจริงอย่างนี้ ลูกๆราชภัฏไกลเมือง อันเป็นฐานรากกากมะพร้าวของสังคมปิรามิด ก็จะสามารถเดินในสังคมอย่างผึ่งผายด้วยหัวใจพอเพียงและรู้เท่าทัน
แอมแปร์ดีใจอยู่ได้ไม่กี่ปี ท่านก็เปลี่ยนชื่อเป็น "คณิตศาสตร์กับการคิดและการตัดสินใจ" ด้วยเหตุผลว่าวิชานี้ควรสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ควรเป็นครูคณิตศาสตร์สอน และควรว่าด้วยความน่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น วงเล็บ
แอมแปร์ขอโทษพี่นุชด้วยเถิดนะคะ หากแอมแปร์พูดอะไรที่ผิดไปจากที่ควรจะเป็น แต่แอมแปร์คิดว่า การคิดและการตัดสินใจในชีวิตจริง ต้องอาศัยวิธีคิดที่หลากหลาย และเครื่องมือประกอบการคิดที่รอบด้าน (ไม่ใช่รูปแบบการคิดชุดเดียว จากคนชุดเดียวที่นำเสนอวิธีคิดแบบดิ่งเดี่ยว เพราะถูกจำกัดด้วยคำอธิบายรายวิชา)
บวกกับประสบการณ์การฝึกคิดที่สอคคล้องกับชีวิตจริงอย่างสอดคล้อง ต่อเนื่อง และจริงจัง ด้วยวิธีสอนที่เนียนเข้าไปในเนื้อ
วิชาเช่นนี้ต้องใช้ปราชญ์สอน ต้องใช้หลายๆคนด้วย ถ้าไม่มีก็ต้องสร้าง และต้องรีบสร้างด้วย
แอมแปร์เห็นชาวบ้าน(คือพี่น้องทั้งหลาย) ท่านเรียนรู้จากปัญหา และสร้างคุณค่าร่วม สร้างความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้เพราะปัญหาร่วมเป็นตัวตั้ง แล้วท่านรวมพลังกันเป็นใจเดียวเพื่อแก้ปัญหา เพราะท่านรู้ว่าถ้าไม่ร่วมมือกันในวันนี้ จะซี้หยังเขียดในวันพรุ่ง (ขอโทษค่ะพี่นุช กลอนพาไป)
ปราชญ์ชาวบ้านท่านหาทางออกในสภาพจริง และวิธีการของท่านคือลองหลายๆวิธี ลองด้วยภูมิปัญญาชุดที่มีมาก่อน และลองผิดลองถูก ด้วยชีวิตจริงๆ แบบที่ไม่บังคับวิธีทำ และไม่มีคำตอบสำเร็จรูปรอล่วงหน้า ท่านกล้าและจำเป็นที่ต้องจะรับผลจากการเสี่ยงครั้งนั้นๆด้วย
พอเห็นชื่อวิชา "ที่บังคับวิธีทำ" ( และนำไปสู่การบังคับวิธีคิด และจำกัดตัวผู้ฝึกให้คนรู้จักคิดด้วย) แอมแปร์ก็พูดอะไรต่อไม่ถูก ....แต่นั่นยิ่งทำให้รู้สึกมุ่งมั่นหนักเข้าไปอีก แอมแปร์บอกตัวเองว่าต้องรู้จักจังหวะ รู้จักรอ แต่ขณะที่รอ...จงทำไป อย่าหยุด อย่าท้อ
ไม่ว่าเราจะสอนวิชาอะไร หากเราตั้งใจสอนคนให้เป็นคน พัฒนาคนให้เป็นมนุษย์แล้ว ก็จงทำไป อย่าได้ท้อ ถ้าเราพยายามต่อไป ก็อาจมีสักวันหนึ่งที่เราจะได้คำตอบว่าเราควรทำอย่างไร จึงจะได้เห็นผลอย่างที่เราหวัง คือถึงตอนนั้นเราคงแก่กำลังดี และปลงได้ คือแอมแปร์หวังว่าจะได้เห็นก่อนเกษียณ
และพอรู้สึกว่าก็อีกไม่นานเท่าไหร่ เลยทำให้มีกำลังใจจะรอน่ะค่ะพี่นุช : )
ปล. ขอโทษจริงๆค่ะที่เขียนยาวๆ แต่แอมแปร์อยากพูดให้ครบอย่างที่รู้สึก ขออนุญาตพี่นุชนะคะ : )
เช้านี้แวะมาอ่านบันทึกเบาหวาน ได้รูปแบบการพัฒนาสื่อความรู้ทางสุขภาพครับ ขอบคุณที่อาจารย์แวะไปเยี่ยมที่บันทึกของผมเสมอ
ขอบพระคุณมากครับ
สวัสดีค่ะน้องแอมแปร์ แหมเล่นเรียกพี่ว่า"อาจารย์พี่นุช" ทำเอาเขินเลยที่"อาจารย์น้อง" เกรงใจเรียกเช่นนั้น คราวหน้าเอาแค่ "พี่นุช" ก็พอจะได้ไม่ต้องพิมพ์ยาวนะคะ
ดีใจและมีความสุขไปด้วยที่น้องแอมแปร์มีความสนุกในการเดินทางสายที่ตนเองเลือกที่จะเชื่อ และเลือกที่จะทำเช่นนั้น แม้ว่าจะมีอุปสรรคมาทดสอบความตั้งมั่นบ้าง
หนึ่งเรา(คง)ปกติดี.. : ) ยืนยันและรับรองค่ะ
สอง ยังมีคนอีกมากที่รอ...เหมือนเรา และเขาเหล่านั้นมองเห็น และได้พยายามทำ ในสิ่งที่ตนทำได้ อย่างสุดกำลัง แอมแปร์จึงทำโน่นทำนี่ไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ
...และ รอ.... เช่นกัน...
เหมือนกันเลยค่ะ
วิชาการคิดและการตัดสินใจ .....
ก็เปลี่ยนชื่อเป็น "คณิตศาสตร์กับการคิดและการตัดสินใจ" ด้วยเหตุผลว่าวิชานี้ควรสังกัดคณะวิทยาศาสตร์ ควรเป็นครูคณิตศาสตร์สอน และควรว่าด้วยความน่าจะเป็นทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น วงเล็บ
เข้าใจว่าเหตุผลมีหลายประการ ข้อหนึ่งคือหาผู้รับผิดชอบ และคนที่เรียนมาแบบตะวันตกย่อมคิดแบบฝรั่ง คือความรู้วิทยาศาสตร์เท่านั้นที่เป็นที่สุด ดังนั้นวิธีที่ได้มาซึ่งความรู้จึงควรใช้กับความรู้ทุกประเภท สมัยนี้เราพบมากค่ะ กายเป็นคนไทยแต่หัวใจแบบฝรั่ง ไม่ได้ว่าหัวใจฝรั่งไม่ดี แต่อยู่ผิดร่าง ผิดที่ค่ะ
แอมแปร์คิดว่า การคิดและการตัดสินใจในชีวิตจริง ต้องอาศัยวิธีคิดที่หลากหลาย และเครื่องมือประกอบการคิดที่รอบด้าน (ไม่ใช่รูปแบบการคิดชุดเดียว จากคนชุดเดียวที่นำเสนอวิธีคิดแบบดิ่งเดี่ยว เพราะถูกจำกัดด้วยคำอธิบายรายวิชา)
ใช่แล้วค่ะ คนมีสติ เข้าใจบริบท ต้องคิดเช่นนี้ ฝรั่งหลายคนเขาก็เริ่มเข้าใจ แต่คนไทยยังติดกับความรู้เดิม ยึดมั่นกับความรู้เก่าๆที่หากจะคิดตามฝรั่งก็ยังตามเขาไม่ทัน จะคิดเองก็ไม่กล้าออกนอกกรอบ แนวคิดเช่นนี้เช่น Epistemological Pluralism และMultiperspective Reflection
บวกกับประสบการณ์การฝึกคิดที่สอคคล้องกับชีวิตจริงอย่างสอดคล้อง ต่อเนื่อง และจริงจัง ด้วยวิธีสอนที่เนียนเข้าไปในเนื้อ
วิชาเช่นนี้ต้องใช้ปราชญ์สอน ต้องใช้หลายๆคนด้วย ถ้าไม่มีก็ต้องสร้าง และต้องรีบสร้างด้วย
มาช่วยกันค่ะ
ปราชญ์ชาวบ้านท่านหาทางออกในสภาพจริง และวิธีการของท่านคือลองหลายๆวิธี ลองด้วยภูมิปัญญาชุดที่มีมาก่อน และลองผิดลองถูก ด้วยชีวิตจริงๆ แบบที่ไม่บังคับวิธีทำ และไม่มีคำตอบสำเร็จรูปรอล่วงหน้า ท่านกล้าและจำเป็นที่ต้องจะรับผลจากการเสี่ยงครั้งนั้นๆด้วย
ควมรู้ที่มาจากการปฏิบัติ ย่อมตอบโจทย์ในชีวิตได้จริง
แอมแปร์บอกตัวเองว่าต้องรู้จักจังหวะ รู้จักรอ แต่ขณะที่รอ...จงทำไป อย่าหยุด อย่าท้อ
ถ้าเราพยายามต่อไป ก็อาจมีสักวันหนึ่งที่เราจะได้คำตอบว่าเราควรทำอย่างไร.... จึงจะได้เห็นผลอย่างที่เราหวัง คือถึงตอนนั้นเราคงแก่กำลังดี และปลงได้ .....
ทำให้เต็มความสามารถ คำตอบจะค่อยๆปรากฎ การปลงได้ ไม่ใช่การยอมจำนนว่าทำได้แค่นี้แหละ แต่ปลงได้ด้วยความเข้าใจในการไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่า ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เราหวังไว้ "มันเป็นเช่นนั้นเอง" ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย
และพอรู้สึกว่าก็อีกไม่นานเท่าไหร่ เลยทำให้มีกำลังใจจะรอน่ะค่ะพี่นุช : )
แปลว่านี่รอหนังสือพี่จริงๆหรือคะ อิ อิ สงสัยจะหลอกน้องหรือเปล่านะเนี่ย คงไม่ให้รอถึงแก่แน่ๆค่ะ
สวัสดีค่ะดร.ป๊อป ผลัดไปเยี่ยมเยือนกัน ให้รู้ว่ายังคิดถึงกันอยู่เสมอค่ะ แค่รู้ว่ามีความคิดถึงกันอยู่แวะมาแม้ไม่แสดงตัวเขียนข้อคิดเห็นไว้ กระแสจิตก็ถึงกันค่ะ