ต่อจาก บันทึก http://gotoknow.org/blog/ariyachon/112354
ผมอ่าน วงจรเรียนรู้ ของ ท่าน ดร Nonaka และ ท่าน Partanen
Partanen เป็น Head coach ของ วิทยาลัย Team academy เป็นโรงเรียนโปลีเทคนิค ที่สอน การตลาด ของ Finland สอนตามแนวแนว ทีมเรียนรู้ ไม่ได้สอนแบบ class room (Reference : The Team Academy : A True Story of a Community That Learns by Doing , เขียนโดย Niina Leinonen,Johanness Partanen and Petri Palviainen, www.tiimiakatemia.net)
**********************************************************
วงจร 4 T (ผม เอามา ย่อเล่นๆ ) Talk -----> Think -----> Theory -----> Test
เมื่อมาพิจารณาดูแล้ว คือ วงจรเรียนรู้ แบบจำง่ายๆ ก็คือ "คุย ----> ค้น -----> คลิก ----> คลำ"
ถ้าให้ดูดีมีชาติตระกูล แบบเสพนิยม หรือ ตามก้น นักคิดต่างชาติ ก็ คือ
Talk = T 2 T (Tacit knowledge ---> Tacit knowledge) ล้อมวงคุยกัน สุนทรียสนทนา เอา ความรู้ลึก (ผ่านการทำจริง) มา show & share กัน ออกไปเจอผู้คน ออกไปเที่ยว ออกไปเจอผู้รู้ ฯลฯ
ช่วงนี้ ต้อง Open Minds , open hearts
Think = T 2 E ( Tacit K ---> Explicit Knowledge) เอาที่ได้รับรู้ (แต่ เราเรียกกันว่า ความรู้) มา คิด มาคิดเป็นระบบ มาผสมผสานกับ ที่รู้ (ข้อมูล และ ความรู้) เดิมๆ เอาที่คุยมาจด มาเขียน BLog แปลง จาก นามธรรม ---> รูปธรรม อย่างนักวิชาการทั้งหลาย (ถ้าหยุดอยู่แค่นี้ ถือว่า ไม่เรียนรู้ เพราะ ไม่ครบ วงจร 4 T )
Theory = E 2 E ( Explicit ---> Explicit)
ตกผลึก ปิ๊ง ได้ แนวคิด (ในกระดาษ ในห้อง ในหัว) ได้ สมมติฐานเบื้องต้นยังไม่ได้ทดสอบ ได้ทฤษฎีส่วนตัว
ในช่วงนี้เอง หลายท่าน รีบร้อน นำเสนอ ทำให้ คนทั่วไป หลงคิดว่า ครบวงจรเรียนรู้แล้ว แต่ เป็นแค่ แนวคิด
เช่น บ้องไฟ พญานาค เกิดจาก การหมักหมมอินทรีย์วัตถุในท้องน้ำแม่โขง ฯลฯ ซึ่ง เป็นแค่ "แนวคิด" ดูดี เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ ก็ยังไม่ได้ ทดสอบจริง
Test = E 2 T เป็นการเอา สมมติฐานที่ "ตกผลึก" ได้ ในขั้นที่ผ่านมา เอามา ทดสอบ ทดลอง
ขั้นตอนนี้ ต้อง Open will เปิดความกล้า กล้าทำ กล้าเสี่ยง ไม่กลังผิด ไม่กลัวโดนด่า ถ้า ไม่เป็นอกุศลนะ ถ้าไม่เป็นอันตรายเกินไปนะ เป็นต้น
ผลออกมาเป็นไง ก็กลับไป คุย ไป talk เอาไปแบ่งปัน เพราะ อาจจะผิด อาจจะคาดไม่ถึง อาจจะคนละบริบท คนละเวลา ต่างกรรม ต่างวาระ เป็นต้น
***************************************************************
ในที่สุด หลังจาก คุยมากๆ อ่านมามาก ปฏิบัติมาบ้าง
ผมก็ ตกผลึก ว่า จริงๆแล้ว วงจร เรียนรู้ ก็ คือ อริยสัจ ๔ ที่เป็น กงล้อเกวียน ขับเคลื่อนโดย อิทธิบาท ๔ นั่นเอง
"วงจรเรียนรู้ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค"
T 2 T = การพูดคุย การค้นหาตนเอง การค้นหาโจทย์ โดยเฉพาะ คำถามที่สำคัญที่สุด คือ "เราจะพ้นทุกข์อย่างถาวรไอย่างไร"
T 2 E = การคิด ค้น สืบสอบ อ่าน ดูพระไตรปิฎก คำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่ หลวงพ่อ ฯลฯ ก็จะพบว่า "สมุหทัย" ต้นตอสาเหตุต่างๆ โยงใยไปลงที่ "ใจ" ทั้งสิ้น
E 2 E = ตกผลึก ได้ว่า สุดท้าย จะพ้นทุกข์ได้ ต้อง ตั้งเป้า คือ "นิโรธ" คือ จิตว่าง เอาสติไปทำงานแทนจิต
E 2 T = หลังจาก รู้แล้วว่า ต้นตอ คือ อะไร เป้าหมาย อยู่ที่ "ใจ" ก็ต้อง "ลงมือทำ" ซึ่ง คือ "มรรค" มี องค์แปด นั่นเอง ตามรู้ ตามเข้าใจ "ขันธ์ห้า" ....จะได้ ละขันธ์ห้าได้ไง
รักษา ศรัทธา + วิริยะ ( ตั้งเป้าหมาย แล้ว ไปให้ถึงให้ได้) รู้จักการให้ทาน (เสียสละ ให้อภัย อย่าให้แต่ เงินและสิ่งของอย่างเดียว) ศีล (ศีล ๕ เป็นศีลง่ายๆ ศีลที่จิตจะน่าทำ คือ ภาวนา
ภาวนา แปลว่า พัฒนา สำหรับผม ตกผลึกได้ว่า ภาวนา คือ ภาวนา ชนะจิต
สมาธิที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสมาธิ คือ สมาธิในการทำสติให้ต่อเนื่อง ดูกาย เวทนา จิต ธรรม
******************************************************************
การได้ show & share คือ การสนทนาธรรม เสวนาธรรม ฟังธรรมตามกาล คบบัณฑิต ห่างไกลคนพาล ฯลฯ
การทำ Dialogue (ดอกอะไร = ไดอะร็อก) จริงๆแล้ว คือ การมีสติ คุยแบบดูจิต ทำจิตว่างคุยกัน ตามดูความคิด รู้เท่าทัน ความอยาก ไม่อยากต่างๆ ที่เกิดขึ้น
วงจร 4 T ผมเอาไว้ ประเมินพฤติกรรม ว่า ผู้เรียนมีพฤติกรรมอย่างไร
ผมให้ หมายเลข 1 = talk 2 = think 3= theory 4 = trial/ test
ดังนั้น พฤติกรรมของผู้เรียน จะได้แก่
1 = สอนคุย แต่ คิดไม่เป็น เช่น ไปดูงานมากมายแต่ไม่ได้ข้อคิดอะไร ไม่คิดต่อยอด ไม่ค้นคว้า อาจจะติดนิสัย "เขาว่า" โดยไม่อ่านตำราประกอบ
2 = เอาแต่คิด เอาแต่อ่าน ปริยัติสุดๆ ไม่คุย ม่ตกผลึก สร้างสมมติฐานส่วนตัวไม่ได้เลย ตามตำราอย่างเดียว
3 = ไม่คุย ไม่สืบค้น แต่ สามารถ ตกผลึกได้เอง ! หายากนะ แต่ก็มีครับ
4 = ชอบทำ ชอบตลุยทำ ทำไปเรื่อย
12 = คุยด้วย เจอคนด้วย คิดด้วย อ่านด้วย ค้นคว้าด้วย แต่ ไม่ตกผลึก ไม่เจอ conceptualization (ตามที่ Senge บอก) สังเกตนักวิชาการหลายคน เป็น 12 หรือ วิทยานิพนธ์หลายฉบับ มี แต่ อ้างคนโน คนนั้น
13 = คุยๆๆๆ ไม่ค้น แต่ ตก ผลึกได้ ว้าว !!
14 = คุย เจอผู้รู้ ลงมือ ทำ เป็นนักปฏิบัติ ที่เปิดตัว แบ่งปัน และ ทำจริง
23 = ไม่คุย ตกผลึกเอง เจอผู้คนไม่ได้ ทะเลาะกับผู้คนได้ง่ายๆ
24 = อ่าน ค้น คิด และ ลงมือทำ แม้นไม่ตกผลึก แต่ ก็เอาจาก ตำรา เอามาทำ
34 = ตกผลึกเอง แล้วทำ คงหาคนแบบนี้ยากนะ
123 = คุย คิด ค้น คลิก แต่ ไม่ "คลำ" ไม่ทำ น่าเสียดายจริงๆ อาจจะเป็น อาจารย์ นักข่าว นักวิจารณ์
234 = เก่ง แต่ ไม่คุย ไม่แบ่งปัน
341 = ไม่คิด ไม่เน้นตำรา
1234 = สุดยอดเลยครับ ในฐานะโค้ช เราคงต้องผลักดัน ให้ผู้เรียน ให้ไปให้ได้ ครบ 1234 จนเป็น พฤติกรรมปกติของเขาให้ได้
โค้ช ต้องให้กำลังใจ เป็น "โดราเอมอน" จัดหา เตรียม "เวที" ติดต่อ สร้าง "ภาคี" ให้พวกเขา ให้เขาได้ "ปะทะโลกความเป็นจริง" ตามความเป็นจริง มี"สติ" และ ที่สำคัญมากๆ (หลายๆตำรา ไม่เน้น) คือ "แยกแยะ กุศล และ อกุศล" ให้ได้
ในบางเรื่อง ผมก็ ครบ 1234 ในบางเรื่อง ก็ไม่ครบ ก็แล้วแต่ ศรัทธา ความเชื่อ โอกาส วาสนา ฯลฯ
0 = คือ ไม่คุย ไม่คิด ไม่ค้น ไม่อ่าน ไม่ตกผลึก ไม่ลงมือทำ เป็นพวก Ignorant ...... หาได้ที่ไหนเนี่ย
เรียน ท่านอาจารย์ ไร้กรอบ
โห ....JJ ตกผลึก ว่องไว จริงๆ
คำว่า พระท่านเน้น คือ partanen เป็นคำ ของ คุณสุริยา จาก Sunfood ครับ
แล้ว 124 ละครับท่านอาจารย์ แบบตกผลึกไม่ออก แต่ลองทำดูก่อน