สภาวะโลกร้อน


สภาวะโลกร้อนอันเกิดจากโลกทัศน์ของชนชั้นนำ

 

คุยกันพาเพลิน

                   สวัสดีครับท่านผู้อ่านครั้งนี้ขอนำบทความที่ยังคงเป็นกระแสหลักของโลกคือ สภาวะการณ์โลกร้อนที่เกิดขึ้นในทั่วทุกทวีป มาเล่าสู่กันฟังว่าภายใต้แนวคิดของ Sunday weekly คิดเห็นอย่างไรก็กรณีดังกล่าว ท่านผู้อ่านครับเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางไปอบรมเกี่ยวกับกระบวนการจัดทำภาพยนต์สั้น ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สนุกมาก ได้สาระเรื่องราวดี ๆ มากมาย เอาไว้วันหลังผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่าน  

 

                คำถามแรกของบทความเรื่องนี้คือ “ทำไมสภาวะโลกร้อน จึงเกิดจากโลกทัศน์ของชนชั้นนำ” การตอบคำถามในประเด็นดังกล่าว จะเป็นการคลี่คลายปมปัญหาต่าง ๆ  ที่จะทำให้ท่านผู้อ่านได้มองเห็นเรื่องราวของสภาวะโลกร้อนได้อย่างละเอียดละออ และ ยังสัมพันธ์กับมิติด้านอื่นของสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

                  ในที่นี้ผู้เขียนขออธิบายถึงคำว่า “โลกทัศน์” คำว่าโลกทัศน์นั้นอาจเปรียบเปรยได้กับ ความคิดหลักของคนในสังคม ดังนั้นแต่ละสังคมจะมีโลกทัศน์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโลกทัศน์ด้านเศรษฐกิจ การเมือง การศึกษา เป็นต้น และอาจกล่าวต่อไปได้อีกว่า สังคมทุกสังคมจะต้องมีโลกทัศน์ที่ครอบสังคมเอาไว้ เช่นทุกวันนี้คนในสังคมทุกคนเชื่อว่าเราอยู่ในยุคเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม ความคิดความเชื่อเช่นนี้ก็คือ โลกทัศน์ที่ว่าด้วยเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม อย่างไรก็ตามโลกทัศน์ที่ครอบสังคมเอาไว้จะถูกเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาและเงื่อนไขของสังคม

                     เมื่อผู้อ่านพอที่จะเข้าใจถึงคำว่า “โลกทักศน์”  ประการต่อมาเราควรที่จะเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โลกทัศน์แต่ละอันนั้นเกิดขึ้นมาในสังคม  สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งคือ เกิดขึ้นจากพลังทางความคิดของชนชั้นนำในสังคม ชนชั้นนำในสังคมเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการศึกษาดี มียศ มีตำแหน่ง มีบริวารมากมาย ดังนั้นพลังทางความคิดของชนชนั้นนำในสังคมจึงเป็นพลังทางความคิดที่มีอานุภาพอย่างมาก และด้วยอานุภาพตรงนี้เองได้ทำให้ความคิดของชนชั้นนำมีอิทธิเหนือกว่าความคิดของคนในชนชั้นอื่น       

                        โลกทัศน์อันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากพลังทางความคิดของชนชั้นนำ คือ โลกทัศน์ของการแบ่งชีวิตออกเป็นส่วน ๆ โลกทัศน์นี้เกิดจากการที่ชนชั้นในสังคมได้เกิดความคิดที่ว่า โลกควรเป็นโลกอุตสาหกรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ระบบโรงงานอุตสาหกรรมจึงเกิดขึ้น อุตสาหกรรมซึ่งเป็นระบบที่แยกส่วนออกจากกันในทุกๆส่วน โดยมิได้สัมพันธ์กัน การที่ระบบโรงงานอุตสาหกรรมไม่สัมพันธ์กันจึงทำให้กลายมาเป็นรากฐานทางความคิดที่ถูกทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแยกย่อยออกจากกัน

                         โลกทัศน์ที่แบ่งแยกชีวิตออกเป็นส่วน ๆ ได้ถูกผลักให้มีอาณาเขตนอกเหนือจากระบบโรงงาน โดยกลุ่มชนชั้นนำได้เป็นกลุ่มที่ผลักออกมา เมื่อโลกทัศน์ดังกล่าวข้างต้นได้ถูกผลักออกมาสู่สังคม จึงทำให้โลกทัศน์ดังกล่าวเป็นโลกทัศน์ที่ครอบสังคมเอาไว้ เราจะพบได้ว่าครอบครัวซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นครอบครัวขยายก็กลายมาเป็นครอบครัวเดี่ยว ชุมชนซึ่งเมื่อก่อนเคยสัมพันธ์กันก็กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ระหว่างบ้านซึ่งกันและกันเลย

                    เมื่อสังคมถูกโลกทัศน์ดังกล่าวข้างต้นครอบงำสังคมเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มแยกย่อยออกจากกันหมด การแยกย่อยดังกล่าวจึงกลายมาเป็นปัญหาอันสำคัญ  ทุกคนจะกินจะใช้จะบริโภคทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยมิได้สนใจว่าการบริโภคการใช้ตรงนั้นจะไปมีผลกระทบกับใครหรือสังคมหรือไม่ ทุกคนคิดว่าขอให้ตัวเราเองหรือครอบครัวของตัวเองได้อยู่รอดก็เพียงพอแล้ว หากเป็นเช่นนี้แล้วการกระทำภายใต้โลกทัศน์ดังกล่าว กำลังกลายมาเป็นสาเหตุอันสำคัญที่ทำให้เกิด “สภาวะโลกร้อน”

                        ไม่ผิดมากนักถ้าคนเราจะใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในโลกนี้เพื่อตัวเอง แต่การใช้ทรัพยากรภายใต้โลกทัศน์นี้ได้ทำให้คนใช้ทรัพยากรแบบไม่สนใจสิ่งใดเลย เช่นถ้าใครสักคนมีเงินหลายล้านบาทก็มีโอกาสซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ เพียงเพราะเป็นคนมีเงิน โดยมิได้คิดว่าการใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่จะทำให้เกิดมลพิษมากขนาดไหน หรือการใช้ไฟฟ้าทุกคนมักจะคิดเสมอว่าใช้ไปเท่าไหร่ก็ได้เมื่อมีเงินเพียงพอที่จะจ่าย ก็กลายเป็นว่าถ้าคุณมีเงินเท่าไหร่คุณก็สามารถใช้ไฟฟ้าได้มากเท่านั้น ซึ่งไม่ได้คิดถึงส่วนรวมหรือกระบวนการผลิตกว่าจะได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้า การกระทำดังกล่าวนี้เองที่เป็นสาเหตุที้ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน

 

                     ฉะนั้นแล้วการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนโดยมิได้คำนึงถึงโลกทัศน์ที่ครอบงำสังคมเอาไว้ ก็มิอาจจะแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนได้อย่างท่องแท้ ในที่นี้เองผู้เขียนจึงอยากนำเสนอถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา คือ สังคมในทุกวันนี้ต้องร่วมกันสร้างโลกทัศน์อันใหม่ขึ้นมา คือโลกทัศน์ที่ทุกคนในสังคมรู้จักสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทั้งในส่วนของสิ่งแวดล้อม และตัวบุคคลเอง  โดยโลกทัศน์อันใหม่นี้ต้องเกิดจากพลังทางความคิดของคนในสังคมมิใช่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นนำ  หากเป็นไปตามที่ผู้เขียนได้เสนอแนะไว้เ ราจะก้าวไปสู่โลกทัศน์อันใหม่ ไปในสังคมที่สภาวะโลกร้อนได้ย่างกรายออกจากโลกใบนี้ไปแล้ว

     วันนี้คงพอเท่านี้ก่อนไว้พบกันอาทิตย์หน้า

หมายเลขบันทึก: 114680เขียนเมื่อ 26 กรกฎาคม 2007 09:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 11:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท