เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนอยู่กรุงเทพฯ ในช่วงที่กลับมาสงขลา ผู้เขียนมักจะใช้เวลาว่างบางช่วงในการดูโทรทัศน์ของหลวงพี่ที่กุฏิ ซึ่งรายการสนทนาปัญหาบ้านเมืองหรือรายการวิเคราะห์ข่าวอื่นๆ เป็นสิ่งที่ผู้เขียนสนใจมากที่สุด... ขณะหลวงพี่เจ้าของโทรทัศน์ชอบดูเกมโชว์เท่านั้น...
ส่วนรายการที่ผู้เขียนจะไม่ดูเลยก็คือรายการเกมโชว์ เพราะผู้เขียนรู้สึกว่าไร้สาระ... ขณะที่หลวงพี่อีกรูปจะไม่ดูรายการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาบ้านเมืองเลย โดยท่านให้เหตุผลว่า พวกนี้เท่าแต่พูดๆ ไม่เคยเห็นทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย... ทำนองนี้
ความขัดแย้งสุดโด่งกรณีนี้ ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสน้อยที่จะได้ดูโทรทัศน์ร่วมกับหลวงพี่ กล่าวคือ เมื่อผู้เขียนเห็นหลวงพี่กำลังดูเกมโชว์ ก็จะไปนอน เดินเล่น อ่านหนังสือ หรือทำอย่างอื่น... ขณะที่หลวงพี่ เมื่อเห็นว่าผู้เขียนกำลังสนใจดูรายการฯ นั้นๆ อย่างเอาใจจดจ่อ ท่านก็มักจะไปจำวัด... ประมาณนี้
.............
เมื่อสิบกว่าปีก่อน รายการทำนองสนทนาปัญหาฯ เริ่มเป็นที่นิยมของคนไทย อาจเพราะคนในสังคมเริ่มสนใจปัญหารอบๆ ตัวที่ค่อยๆ แปรไปจากเดิม... และผู้ร่วมรายการที่ถูกเชิญมาก็มักจะเป็นผู้รู้หรือเชี่ยวชาญด้านนั้นๆ... ซึ่งตามความเห็นของผู้เขียนคิดว่า ยุคนั้นผู้จัดรายการและผู้ร่วมรับเชิญ น่าจะมีส่วนได้เสียกํบความคิดเห็นที่นำเสนอน้อยมาก หรืออาจไม่มีเลย.... ประมาณนั้น
ต่างกับปัจจุบัน ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า ผู้ร่วมรายการและผู้ร่วมรับเชิญ ล้วนแต่มีส่วนได้เสียกับสิ่งที่ออกมาพูด... การแข่งขันของรายการทำนองนี้ก็สูง... ดังนั้น รายการสนทนาปัญหาฯ ในปัจจุบันจึงต่างจากเมื่อสิบกว่าปีก่อน... และนั้นก็คือ สาเหตุที่ทำให้ผู้เขียนดูรายการทำนองนี้น้อยลง เกือบๆ จะไม่ดูเลยเช่นกับหลวงพี่อีกรูป....
ส่วนรายการเกมโชว์ ผู้เขียนก็เริ่มดูบ้างแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มักจะดูไม่นานนัก เพราะมีความรู้สึกว่า เกมโชว์ยังคงไร้สาระเหมือนเดิม...
............
ผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นอันตรายในสังคม เมื่อนักวิชาการ นักปาฐกถา หรือนักเคลื่อนไหวทางสังคม... มีผลประโยชน์ทับซ้อน กล่าวคือมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนั้นๆ อยู่ด้วย สาระที่แท้จริงก็ค่อยๆ เลือนหายไป...
นักปรัชญากฎหมายแนวประโยชน์นิยมบอกว่า กฎหมายเป็นประดุจคันชั่งที่จะแบ่งแยกผลประโยชน์ส่วนตัวของแต่ละคนกับผลประโยชน์ส่วนรวมให้มีความสมดุล...
ดังนั้น กฎหมาย และกฎระเบียบอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นทางสังคม... ด้วยสาเหตุนี้นั่นเอง ทำให้มีผู้แก่งแย่งเพื่อเข้าไปออกกฎหมาย หรือควบคุมกฎระเบียบอื่นๆ เพื่อให้คันชั่งเอนมายังผลประโยชน์ส่วนตัวมากยิ่งขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้...
รายการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาบ้านเมือง ก็เป็นอีกลู่ทางหนึ่งที่จะนำไปสู่การเข้าไปควบคุมหรือชี้นำการออกกฎหมายหรือระเบียบอื่นๆ เพื่ออวยผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้องมากยิ่งๆ ขึ้นไป....
ผู้เขียนมีความเห็นอย่างนี้....
ผมก็เชื่อนะครับ. แต่คนแบบไหนกันไม่ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง? ไม่ใช่คนเพี้ยนก็ต้องประเสริฐมาก?
ประโยชน์ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน. ไม่จำเป็นต้องเป็นลาภ ยศ เงิน. บางคนเห็นอะไรได้อย่างใจก็เป็นประโยชน์ของเขาแล้ว?
แบบบางคนเห็นคนไม่รีดเสื้อแล้วหงุดหงิด ก็จะอ้างโน่นอ้างนี่ให้คนไปรีดเสื้อ ทั้งที่ทางบ้านไม่ได้รับรีดเสื้อหรืออะไร. แต่ว่าหายหงุดหงิดก็เป็นประโยชน์แล้ว.
ประโยชน์ทับซ้อนมันเลยเยอะเหลือเกิน. จนผมคิดว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ ที่จะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน? อย่างมากก็คงจะเลี่ยงได้เฉพาะแต่เรื่องที่เป็นเงินทอง?
ตามที่น้องวีร์ว่ามา... คงจะพอจำแนกได้แล้ว
เจริญพร
ที่จริงผมคิดว่าจะเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหลังหมดวาระรัฐบาลนี้นะครับพระอาจารย์...
ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยไม่มีเจตน์จำนง...แต่ก็ได้เห็นอำนาจที่ได้มาแล้วชวนให้คนหลงไหล...
จนผมเข้าใจแล้วว่า...คนมีเงินล้นฟ้า....กินใช้หลายชาติก็ไม่หมด...แต่ไฉนใยจึงอยากเป็นรัฐมนตรีให้ปวดหัวเล่นอีก...55555
เรียนทุกท่าน.....
คือผมเห็นว่าบ้านเมืองเราทุกวันนี้มีแต่ความขัดแย้ง เรื่องทางความคิดบ้าง ทางประโยชน์บ้าง อะไรประมาณนี้ ผมอยากทราบว่าใครเป็นบัณฑิตทางการเมือง บัณฑิตทางการเมืองมีลักษณะเป็นอย่างไร ทุกวันนี้แต่งตัวโก้ผูกไทใส่สูท เขาคือใครกันแน่...
ใครมีความรู้ช่วยตอบเป็นธรรมทานหน่อยนะครับ ถ้าจะให้ดีกรุณาส่งไปให้ผมทางอีเมล์ ผมก็ขอกราบขอบพระคุณมากเลยครับ...