ดิฉันได้เล่าเรื่องหนึ่ง
เพื่อแลกเปลียนกับอาจารย์นวนันท์ ว่า มีคุณแม่ของเด็กอายุ 15 ปี ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือด
คุณแม่ บอกกับพยาบาลว่า ห้ามบอกลูกว่าเป็นมะเร็ง การสอนการปฏิบัติตัว ข้อมูลทุกอย่างให้บอกกับแม่ทั้งหมด
พวกเราก็กลุ้มใจมาก เพราะตึกเรามีแต่ผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด
เราจะทำอย่างไรดี
แต่เราก็ทำตามประสงค์ของแม่
โชคดี เด็กคนนี้ก็หายป่วย สามารถเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้
ในความคิด ซึ่งอาจผิดก็เป็นไปได้ว่าบางครั้งการไม่พูดก็เป็นการดีต่อคนไข้นะค่ะเพราะการที่คนไขทราบอาจทำให้หมดกำลังใจลงได้ ซึ่งการหมดกำลังใจบางครั้งอาจรุนแรงกว่าอาการไข้เสียอีก
สวัสดีค่ะคุณรัชนีวรรณ
ก็เป็นมุมมองของญาติ
เราลองนึกดูนะคะว่า ถ้าเราป่วยเป็นอะไรที่ร้ายแรง
การรู้อาจทำให้หมดกำลังใจในระยะแรก
แต่ถ้าไม่รู้ตลอดไป จะทำให้เราไม่สามารถปรับตัวได้
จนวาระสุดท้ายของชีวิต
ดิฉันรู้จักกับน้องคนหนึ่ง...ที่พ่อป่วยเป็นมะเร็ง แต่ไม่บอกพ่อ
จนพ่อเสียชีวิต พ่อไม่ได้จัดการสิ่งที่ควรจะทำ เช่นการทำพินัยกรรม การแบ่งมรดกให้เรียบร้อย
เมื่อพ่อเสีย.. ทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
มาถึงวันนี้ลูกบอกว่า รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงกับพ่อ จนพ่อตายจากไป
ไม่ทราบว่าคุณ เคยอ่านหนังสือเรื่อง "บทเรียนจากเพื่อนผู้จากไป" หรือยังครับ คนเขียนเป็นพยาบาลหลายคน
หากยังไม่เคยอ่าน เมื่อได้กลับหาดใหญ่แล้ว จะพยายามหาแล้วส่งไปให้นะครับ
สวัสดีค่ะ
ยังไม่เคยอ่านค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่เข้ามาอ่าน
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะที่จะส่งหนังสือ มาให้เป็นวิทยาทานค่ะ
มุมมองที่ญาติปิดบังการวินิจฉัยมิให้ผู้ป่วยทราบ ผมมองอีกมุมว่า
จริงมันเกิดจากหลายปัจจัยและปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งญาติ-ผู้ป่วย-บุคคลากรการแพทย์ ไม่รู้จะทำอย่างไรหลังทราบ/แจ้งข่าวร้าย
ญาติมักกลัวผู้ป่วยทรุด-แต่ก็ลืมมองไปว่า การปิดบังความจริงสร้างปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการรักษา ความกังวล-ความโกรธที่ถูกปิดบังคาวมจริง
ผู้ป่วยเองอยากทราบแต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเพชิญกับข่าวร้ายนั้นอย่างไร
บุคคลากรเองก็กลัวที่จะแจ้งข่าวร้าย กลัวปฏิกริยาของผู้ป่วยและครอบครัว และเมื่อบอกไปแล้วก็มักจะไม่กล้าเพชิญปัญหานั้นร่วมกับผู้ป่วย และส่วนใหญ่ขาดการฝึกฝนจึงทำให้ยุ่งยากมากขึ้น
มุมมองผมก็คงต้องเริ่มจากเราก่อน มีความพร้อมก่อน อย่างที่คุณอุบลทำคือ อยู่เคียงข้างผู้ป่วยและครอบครัวเสนอ เข้าใจทุกปัจจัยตามจริง
ประสบการณ์ผมบางคนผมเกือบทุกคนแจ้งข่าวร้ายได้สำเร็จ ถ้าผู้ป่วยอยากทราบ เพราะถ้าเราแก้ไขความกลัวของญาติได้ และเรามีทางช่วยเหลือดูแลเขาต่อเนื่องการแจ้งข่าวร้ายคือการบอกความจริงตามธรรมชาติ
มีผู้ป่วยรายหนึ่งที่ผมไม่ต้องบอกว่าเป็นอะไร เพราะลุงบอกว่า ผมเป็นอะไรก็ช่าง ขอหมอช่วยดูหน่อย ผมถามว่าทำไมไม่อยากรู้ แกบอกว่าอายุมากแล้วยังไงก็ตาย ผมเดาเอาเองว่าแกรู้ตัวเอง หรือไม่ก็ปลงใจได้
ขอแลกเปลี่ยนแค่นี้ก่อนครับ
สวัสดีค่ะคุณโรจน์
ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนค่ะ
การบอก หรือไม่บอกข่าวร้าย น่าจะอยู่ที่ความต้องการของคนไข้
ลองนึกดูนะคะ ถ้าเราจะต้องตาย
โดยไม่รู้ตัว จะรู้สึกอย่างไร
ดิฉันขอแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เป็นญาติของผู้ป่วย แม่ของดิฉันป่วยเป็นมะเร็งที่รังไข่ระยะเริ่มต้น ตอนที่รับฟังข่าวร้ายว่าแม่อายุ 68 ปี เป็นมะเร็งดิฉันช็อกคือเป็นลม รับไม่ได้และคิดล่วงหน้าไปว่าแม่จะต้องทุกข์ทรมานกับการเป็นโรค และจะต้องให้เคมีบำบัด 6 ครั้ง แต่หลังจากที่คิดได้ว่าจะต้องดูแลแม่อย่างไร และวางแผนในการที่จะต้องลางานสลับเปลี่ยนกับพี่และน้อง ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับภาระคนเดียว ก็เริ่มสบายใจขึ้น หมอที่ดูแลรักษาแม่ดีมาก เข้าใจถึงความต้องการของญาติและผู้ป่วย แต่พอให้ยาครบแล้วและหมอนัด F/U ดิฉันก็เริ่มกังวลกลัวแม่ไม่หาย แต่แม่ก็ผ่านภาวะนั้นมาได้ด้วยดีซึ่งก็อยู่ในช่วงติดตามทุก 6 เดือน
สวัสดีค่ะคุณติ๊ก
ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะที่ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้
การรักษามะเร็งจะได้ผลดี เราควรค่อยๆบอกตามหลักการที่กล่าวข้างต้น
เพราะการที่ผู้ป่วยรู้จะเป็นผลดี จะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง จะทำให้อาการข้างเคียงจากการรักษาไม่มาก
ถ้าไปนอนรักษา โดยเฉพาะที่โรงพยาบาล ตึกดิฉันผู้ป่วยทั้งหมดเป็นมะเร็ง ถ้าเขาพูดคุยซักถามกัน ผู้ป่วยก็มีโอกาสรู้
มะเร็งบางอย่างมีโอกาสรักษาได้และมีชีวิตอยู่ได้นาน
วันนี้อ่านเรื่อง คุยเรื่อง ความตายกับผู้ป่วยมะเร็งเด็กระยะสุดท้าย
ในหนังสือพิมพ์มติชน ปีที่30ฉบับที่10742 วันที่8 สิงหาคม 2550
ทพญ อพภิวันท์ นิตยารัมภ์พงศ์ กล่าวว่า
เด็กอายุแรกเกิด- 8ขวบ ไม่เข้าใจความหมายและไม่รู้ว่าความตายคืออะไร เข้าใจเพียงว่านอนหลับไปเฉยๆ จึงไม่จำเป็นต้องบอก
เด็กอายุ 8 ขวบขึ้นไป เด็กจะเริ่มรู้และจินตนาการ เรื่องความตายจากญาติพี่น้องที่เสียชีวิตแล้ว
การสื่อสารเรื่องความตายจึงควรใช้ภาษาเด็ก
ถ้าเป็นเด็กเล็กมากไม่ควรใช้ภาษาพูด ควรใช้ภาษาจากสื่อต่างๆแทน เช่นเด็กชอบรถยนต์ อาจพูดถึงรถยนต์ที่หนูเล่นประจำเกิดเสีย ต้องส่งโรงซ่อม เติมนำมัน พ่นสีใหม่ จึงจะวิ่งได้เหมือนเดิม เหมือนหนูเกิดป่วยก็ต้องรักษา
หรือรถยนต์ผุมากอาจพังได้เหมือนร่างกายหนูก็พังได้ หากแต่หัวใจหนูจะไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าคือใคร
พระเจ้าคือผู้ใจดี ท่านอยู่บนฟ้า ท่านจะต้องรักหนูมาก
หรือหาภาพมาประกอบซึ่งเป็นภาพที่คุ้นเคย เช่น ภาพพระพทธรูปที่เด็กเคยสวดมนต์กับพ่อแม่ที่บ้าน สิ่งที่เด็กอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น คุ้นเคย มั่นคงและช่วยลดความกลัวลงได้
ดังนั้นการสื่อสารกับเด็ก ไม่ควรใช้คำว่า ความตาย เพราะถือเป็นคำที่เจ็บปวด
ควรพูดให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย นึกภาพจินตนาการและเห็นที่มาที่ไปของตัวเองว่า เคยทำดีและอยากทำอะไรต่อไป
การสื่อสารเรื่องความตาย ควรพูดคุยให้เหมือนเรื่องธรรมดา
อ่านแล้วรู้สึกเป็นตัวอย่างที่ดี ที่พยาบาลสามารถนำมาใช้ได้จริงกับผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย
สวัสดีค่ะ พี่อุบล
ตามมาอ่านบันทึกเก่าๆ ของพี่ค่ะ หนูรู้สึกว่ามีประโยชน์กับตัวเองมากเลยค่ะ หนูอยากจะ ลปรร กับพี่ในเรื่องนี้ค่ะ เป็นประสบการณ์ของตัวเองในเรื่องของการจะบอก/ไม่บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าเป็นโรคร้าย
เป็นประสบการณ์ของครอบครัวตัวเองค่ะ ซึ่งหนูคิดว่าการให้ผู้ป่วยและญาติรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญมาก สำหรับญาติ
ส่วนสำหรับคนไข้
ขณะนี้แม่ของหนู ให้เคมีบำบัดรอบที่ 3 แล้วค่ะ (ผลการเจาะไขกระดูก หมอบอกว่ามีเชื้อมะเร็ง อยู่ 10 % ซึ่งแม่ยังแข็งแรงอยู่ค่ะ) การเข้า รพ.รอบนี้ เราอุ่นใจกว่าครั้งแรกๆ ค่ะ เพราะตลอดมา เราดูแลกันด้วยเหตุผลอธิบายทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงกับแม่หลังจากให้ยา ทำให้แม่ทราบและรู้ว่าอาการต่างๆ เช่น ผมร่วง อาเจียน เบื่ออาการ ผิวคล้ำขึ้น เกิดจากยาตัวไหน เมื่อให้ยาชื่อนี้แล้วจะเป็นอย่างไร เราต้องเตรียมตัวยังไงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ซึ่งพวกเรารู้สึกสบายใจ เหมือนเรากำลังเดินไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง เห็นหลุมทุกหลุม รู้ว่าต้องหลบ หรือค่อยๆ เดินลงไป หรือแม้แต่ถ้าล้ม เราก็จะล้มอย่างเบาที่สุดค่ะ หนูคิดว่าการมีสติกับปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ ทำให้เราพร้อมที่จะรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาค่ะ
สวัสดีค่ะ
พี่ดีใจที่แม่มีลูกอย่างน้อง TuDToo
เพราะทั้งผู้ป่วยและญาติได้มีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจ จะทำให้การรักษาได้ผลดีมากกว่า เพราะเรารู้ว่าหลุมพรางอยู่ที่ไหน เราก็หลบหลุมได้อย่างที่น้องบอก
เพราะการรักษาด้วยยาเคมี ถ้าเรารู้วิธีปฏิบัติตัว จะทำให้ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้น้อยกว่าค่ะ