หน้าแรก
สมาชิก
Mr.CHOBTRONG
สมุด
อ.พิชัย สุขวุ่น
การเสวนาเพื่อสร้า...
Mr.CHOBTRONG
ผศ. สมศักดิ์ สถาบันวิจัยและพัฒนา ชอบตรง
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
การเสวนาเพื่อสร้างความสมานฉันท์
การเสวนา
การเสวนาเพื่อสร้างความสมานฉันท์
อาจารย์พิชัย
สุขวุ่น
ตามที่สถาบันพระปกเกล้าร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ได้จัดให้มี
“
การสานเสวนาเพื่อสร้างความสมานฉันท์แห่งชาติ
”
เมื่อวันพุธ ที่ 22 พฤศจิกายน
2549
ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยมีหนังสือถึงอธิการบดีให้เข้าร่วมประชุม เพื่อให้เสนอความคิดเห็นในแนวทางที่จะป้องกันความขัดแย้งโดยสันติวิธีและสมานฉันท์
ในการนี้ผมได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมประชุม เพื่อทำหน้าที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการสร้างความสมานฉันท์
ซึ่งก่อนการตอบหนังสือเพื่อยืนยันการเข้าร่วมประชุมทางผู้จัดได้ให้แสดงความจำนงในเบื้องต้น
ว่าจะเลือกร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มใด โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1)
การสร้างความสมานฉันท์ในมิติสังคม
การปกครองและความยุติธรรม
2)
การสร้างเสริมความสมานฉันท์ในภาคใต้
3)
การสร้างความสมานฉันท์ทางการเมือง
4)
กลไก โครงสร้างและกระบวนการเสริมสร้างสมานฉันท์อย่างเป็นรูปธรรม
ผมจึงเลือกเข้าประชุมเพื่อแสดงความคิดเห็นในกลุ่มที่
2
เพราะเห็นว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางภาคใต้ควรรับรู้ปัญหาในระดับภูมิภาค
เพื่อใช้กระบวนการจัดการศึกษาร่วมแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้
และคงตรงกับเจตนาของผู้จัดประชุมที่ต้องการให้มหาวิทยาลัยมีส่วนรับรู้กับปัญหาในระดับพื้นที่และใช้ความรู้จัดการกับปัญหาในระดับเบื้องต้น ถึงแม้ว่ามหาวิทยาลัยเราจะห่างจากพื้นที่ปัญหาภาคใต้พอสมควร
แต่ถ้าหากมีพื้นฐานความเชื่อว่า เราล้วนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่ว่าปัญหาของคนอื่น ๆ
จะอยู่ใกล้หรือไกลหากมีโอกาสช่วยผู้อื่น
ก็นับว่าเป็นอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะช่วยพัฒนาตัวเราเองและสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
การประชุมเริ่มเวลา 08.30 น. โดยประธานในพิธีเปิด ได้แก่ รศ.ดร.ธีรภัทร
เสรีรังสรรค์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และบรรยายต่อโดยนายไพบูลย์
วัฒนศิริธรรม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และต่อด้วยนายชาญชัย
ลิขิตจิตถะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาจากผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมและแนวทางสมานฉันท์ประกอบด้วย ดร.กิตติพงษ์
กิตยารักษ์
รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
รศ.ดร.โคทม
อารียา
สมาชิกสภานิติบัญญัติ ศ.นพ.วันชัย
วัฒนศัพท์
ผู้อำนวยการสันติวิธีและธรรมภิบาล
จะเห็นได้ว่ารายชื่อที่กล่าวข้างต้นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นนักสมานฉันท์ในเชิงสันติวิธี และเป็นนักกฎหมายที่อธิบายกฎหมายในเชิงนิติปรัชญา มากกว่าเป็นการตีความกฎหมายโดยตัวอักษร และประกอบด้วยรัฐมนตรีที่สร้างความเชื่อมั่นได้ว่าภายใต้รัฐบาลชุดใหม่นี้ ความยุติธรรมจะต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจัง
ซึ่งยุทธศาสตร์ความยุติธรรมก็เป็นนโยบายหนึ่งของรัฐบาลนี้
การจัดงานสานเสวนาเพื่อความสมานฉันท์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ผมคิดว่าคงชดเชยจากความอยุติธรรมของสังคมที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน
นาน ๆ ครั้งถึงจะมีรัฐบาลที่คิดเห็นตรงกันโดยไม่ต้องอ้างว่า เป็นรัฐบาลผสมที่ต้องให้เกียรติตัวแทนการเมืองจากหลายพรรค จึงไม่อาจทำนโยบายใด ๆ ได้โดยลำพัง เรื่องของความยุติธรรมจึงไม่ได้ปฏิรูปตลอดระยะเวลาของการพัฒนาประชาธิปไตย 70 กว่าปีที่ผ่านมา
อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้ก็ได้เสนอตัวเข้ามาเพื่อสมานรอยร้าวของประชาชน ที่เคยแตกออกเป็นสองฝ่าย ระหว่างผู้สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายต่อต้าน
ผลของการสานเสวนาพอสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. สังคมไทยไม่มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง เป็นเพียงแนวคิดในอุดมคติเท่านั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่รักษาความยุติธรรมก็มิได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน กรณีนี้ หากเราศึกษาในทาง
คติชนวิทยา
จะเห็นได้ว่าชุมชนในภาคใต้มีวิธีการจัดการกับความไม่ยุติธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐในหลายรูปแบบ
ตั้งแต่ไม่ให้ความร่วมมือ ไปจนถึงจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ทั้งแบบกองโจรและซึ่ง ๆ หน้า
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงมีกรณีนี้อยู่บางเช่นกัน
ดังนั้น
หากรัฐเป็นผู้ทำลายความยุติธรรมเสียเองแล้ว
ประชาชนก็ไม่จำเป็นให้เกียรติรัฐอีกต่อไป
เกียรติแห่งความยุติธรรมจึงเป็นเกียรติสูงสุดของมนุษย์ที่ประเสริฐ เงินทองสมบัติใด ๆ
ก็ไม่เสมอเหมือน
จิตใต้สำนึกของมนุษย์ มักสร้างอนุสาวรีย์ให้กับผู้ที่มีความยุติธรรมเป็นพื้นฐาน
สรุปว่า รัฐมีปัญหาเสียเองเรื่องการรักษาความยุติธรรม
2. ประชาชนยังไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม นั่นแสดงว่ากระบวนการยุติธรรมยังตรวจสอบไม่ได้
คนอื่นให้ความเห็นไม่ได้
เดือดร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
ซึ่งเห็นได้จากหน้าจอทีวี
เมื่อตำรวจนายหนึ่งไม่ต้องการให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่เป็นสายวิชาการ
มาให้ความเห็นในการกระจายอำนาจของตำรวจและต้องการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
โดยตอกกลับว่าคนอื่นจะรู้จักตำรวจมากกว่าตำรวจได้อย่างไร
ซึ่งความจริงไม่จำเป็นว่าใครต้องมีความรู้เรื่องใดอย่างเชี่ยวชาญ เพราะเชื่อว่าความรู้เป็นสมบัติสาธารณะ
คนอื่นมีสิทธิที่รู้มากกว่าเราหรือรู้ดีกว่าเราก็ได้
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปรัชญาการศึกษาด้วย
เพราะความรู้นั้นข้ามพรมแดนกันได้
ในข้อนี้แสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของประชาชนจะทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นในทุกกระบวนการ ตั้งแต่กระบวนการหลักนิติธรรม
ซึ่งประกอบด้วย
ตำรวจ
อัยการ
และศาล
เป็นต้น
3. สังคมไทยควรเพิ่มกระบวนการทางเลือกให้แก่กระบวนการยุติธรรม เพราะกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก
ซึ่งประกอบด้วย ตำรวจ
อัยการ และศาลนั้น ไม่เพียงพอสำหรับรักษาความเป็นธรรมในสังคมได้
เนื่องจากสังคมไทยยึดกระบวนการนี้เพียงอย่างเดียว
จึงทำให้ระบบดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอต่อการอำนวยความยุติธรรม
ประกอบกับเจ้าหน้าที่บางคนจงใจเบี่ยงเบนกระบวนการยุติธรรมด้วยแล้ว
ระบบดังกล่าวจึงรองรับไม่ไหว
เราจึงได้ยินกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทมากขึ้นในปัจจุบัน
เพราะเรื่องที่รอการตัดสินของศาลมีอยู่เป็นจำนวนมาก การรอศาลตัดสินเป็นเวลานานอาจทำให้ จำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเงื่อนเวลาก็เป็นได้
กระบวนการทางเลือกในระบบยุติธรรม
จึงควรประกอบด้วย 1) ควรกระจายอำนาจในการออกกฎหมาย
2) ผู้ใช้กฎหมายต้องไม่บิดเบือนข้อกฎหมาย 3) ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก
(ได้กล่าวไปแล้วตอนต้น)
ที่ผมกล่าวมาทั้ง 3 ข้อ เป็นสาเหตุหลักที่จะต้องจัดประชุมสานเสวนาเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ
เพราะโครงสร้างทางสังคมที่สั่งสมมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปรากฏในกระบวนการยุติธรรม
ด้วยสาเหตุนี้
ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่เกรงกลัวกฎหมายเพราะสามารถบิดเบือนกระบวนการนี้ได้
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ปรากฏการณ์เช่นนี้นำไปสู่โครงสร้างทางสังคมโดยรวมของประเทศ โดยเอารัดเอาเปรียบกันต่างๆ นานา ทำให้ทรัพยากรสำหรับดำรงชีพตกอยู่ในมือของคนจำนวนส่วนน้อยซึ่งเป็นชนชั้นบนของสังคม
คนส่วนใหญ่ที่ยากไร้หรือสูญเสียโอกาสจึงสร้างเงื่อนไขต่างๆ นานามาต่อรอง
เมื่อเรียกร้องหรือประท้วงมากขึ้น
ก็จะมีการปรับตัวระหว่างชนชั้นกันครั้งหนึ่ง
ซึ่งตรงกับทฤษฎีของคาร์ล
มาร์ก ที่สังเกตเห็นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 และยังเป็นความจริงถึงปัจจุบัน
ความจริงมนุษย์เข้าใจความยุติธรรมได้ไม่ยาก
นอกเสียจากจงใจบิดเบือนด้วยเหตุผลแห่งประโยชน์ส่วนตัว
เพราะคำว่ายุติธรรมมีความหมายตรงตัว คือ
“
หยุดที่ธรรมะ
”
ไม่ต้องไปหยุดกันที่ศาล
ธรรมะจะให้ความเป็นธรรมกับทุกชีวิตบนโลกนี้
ซึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติยุติธรรมที่สุด
คือใครทำถูกกฎก็ได้รับผลอย่างหนึ่ง ทำผิดกฎก็ได้รับผลอีกอย่างหนึ่ง ส่วนคนที่พยายามบิดเบือนกฎแห่งธรรมชาติโดยการไม่ทำงาน
แต่ต้องการทรัพยากรจากแรงงานของคนอื่น ก็จะผิดกฎความยุติธรรมทันที
ในช่วงบ่ายของการประชุมก็ได้มีการแยกกลุ่มดังที่ผมได้แจ้งไว้ในตอนต้น
คือ ประสงค์ที่จะเข้ากลุ่ม
“
การสร้างเสริมความสมานฉันท์ในภาคใต้
”
แต่เมื่อร่วมประชุมกลุ่มแล้ว ผมหมดสิทธิ์ที่จะได้แสดงความคิดเห็นแก่ที่ประชุม เพราะต้องยืนต่อแถวยาวมาก
และเวลาก็หมดลงก่อนที่จะถึงคิว ซึ่งผมต้องการแสดงความคิดเห็น 4 เรื่อง
คือ
1) เราควรตีความศาสนากันในเชิงสมานฉันท์ โดยไม่ให้ผู้ก่อการนำไปบิดเบือนในนามของการก่อการร้าย
2) ปรับทัศนะเกี่ยวกับการพัฒนาใหม่ว่าจะอยู่กันแบบพอเพียง
รวมทั้งท่าทีของรัฐต่อท้องถิ่นต้องเริ่มต้นส่งสัญญาณใหม่ ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา
3) ความยุติธรรมจากโครงสร้างรัฐ ต้องปรับปรุง
ไม่เช่นนั้นอาจถูกตอบโต้อย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คล้ายกับเหตุการณ์ 11
กันยายน
2544
4) สร้างทัศนคติว่าเราทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้ด้วยสันติวิธี
ไม่ใช่อยู่ร่วมเพื่อจะเอาเปรียบกัน
ผมขอจบการนำเสนอรายงานการประชุมเพียงเท่านี้และขอขอบคุณสำหรับงบประมาณของมหาวิทยาลัยที่อนุมัติให้สำหรับค่าที่พัก
พาหนะ เบี้ยเลี้ยงและหวังว่าคงคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
ขอให้ทุกคนเป็นคนรักความยุติธรรมแล้วสังคมเราจะน่าอยู่ครับ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
Mr.CHOBTRONG
ใน
อ.พิชัย สุขวุ่น
คำสำคัญ (Tags):
#การเสวนา
หมายเลขบันทึก: 113829
เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2007 16:20 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2012 15:14 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
Mr.CHOBTRONG
สมุด
อ.พิชัย สุขวุ่น
การเสวนาเพื่อสร้า...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท