"ผิวของคุณสวยจัง"
"เฮอะ หยาบยังงี้เนี่ยนะ"
"ชุดนี้หล่อจัง"
"อือ ถ้าคนอื่นใส่"
"ผมทรงนี้เท่ระเบิด"
"ก็เห็นอยู่ว่าหงอกแล้ว พูดออกมาได้ยังไงวะ"
ฯลฯ
รู้สึกคุ้นๆ มั๊ยกับคำตอบทำนองนี้?
ทั้งๆ ที่คนเราชอบคำสรรเสริญเยินยอ แต่ก็มีคนพวกหนึ่งทนรับฟังคำชมหรือเยินยอจากคนอื่นไม่ได้ ไม่รู้จักพูดขอบคุณเวลาได้รับคำชม แต่กลับหาทางพูดให้ร้ายตนเองมาตอบโต้ หรือไม่ก็พูดกลับไปทำนองว่า "จริงหรือเปล่า" พูดเป็นเล่น" "ตาบอดหรือไง" อะไรประเภทนี้
ถ้าเพื่อนชมว่า "แหม วันนี้หน้าตาดูสดใสจัง" คนจำพวกนี้ก็จะตอบทำนองว่า "เฮ่ย ตอนนี้มีแต่เรื่องเครียดทั้งนั้น" "เหรอ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลยเนี่ยนะ"
ทำไมบางคนจึงยอมรับคำชมไม่ได้ และตอบโต้ไปอย่างนั้น คงไม่ใช่เพื่อต้องการคำชมเพิ่มมากขึ้นอีก หรืออยากให้คนอื่นชมซ้ำย้ำให้ฟังอีกเป็นแน่
ทำไมคำชมจึงเป็นสิ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ ไม่มีความสุข
ตัวคุณเองรู้สึกอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า?
คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคนบางคนจึงตอบคำชมของคุณด้วยคำพูดที่ให้ร้ายตัวเองอย่างนั้น
นี่คือเหตุผลที่สรุปมาได้
การมองตัวเองในแง่ร้าย
คนบางคนประเมินตัวเองว่าด้อย คิดถึงตนเองในแง่ร้าย จึงเกิดอาการแปรเจตนารมณ์ของคำชมที่ได้รับเป็นอย่างอื่นที่ไม่ดีเกี่ยวกับตนเอง เช่น ถ้ามีใครชมว่า "นุ่งยีนตัวนี้แล้วคุณเท่จัง" ก็จะคิดว่าจริงๆแล้วคนพูดคงอยากจะว่าตนเองแต่งตัวไม่ถูกกาละเทศะ เป็นต้น
อาการให้ร้ายตนเองแบบนี้ มักจะเกิดเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับร่างกายและบุคลิกภาพ เมื่อถูกชมว่า "คุณนี่ฉลาดจริงๆ" หรือ "คุณตลกจัง" ก็จะรู้สึกอัดอัดทันที แบบนี้เป็นพวกที่ไม่มั่นใจในสติปัญญาความสามารถของตน
ไม่เคยได้รับคำชมในวัยเด็ก
การไร้ความสามารถที่จะรับคำชมได้อย่างสง่างาม อาจเป็นผลสืบเนื่องมาจากประสบการณ์เดิมในวัยเด็กก็เป็นได้ ผู้ปกครองที่เข้มงวดบางคนไม่เคยพูดชมเชยลูกหลานของตนเลย ทำให้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร และรู้สึกยากลำบากที่จะตอบรับคำชมของคนอื่น
ในสมัยก่อน ผู้หญิงจะถูกอบรมว่าต้องสงบเสงี่ยมหงิมงาม ไม่แสดงออกนอกหน้าว่าพอใจหรือไม่พอใจ จะกรี๊ดกร๊าดอย่างเดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้น ผู้หญิงจะมีอาการเช่นนี้มากกว่าผู้ชาย
อย่างเช่นคุณชมพูเล่นเปียโนได้ดีมาก เมื่อจบการแสดงมีคนชม เธอไม่กล้าที่จะพูดว่า "ขอบคุณค่ะ ดิฉันก็รู้สึกว่าวันนี้เล่นได้ดี ตั้งใจซ้อมมากเลยค่ะ" แต่เธอจะตอบว่า "ดิฉันยังด้อยฝีมือค่ะ" หรือไม่ก็ "วันนี้ยังไม่ดีสำหรับดิฉันหรอกค่ะ" เป็นงั้นไป
สิ่งแอบแฝงหรือซ่อนเร้น
บ่อยครั้งในสังคม การที่คนเราไม่รับคำชมของคนอื่น เป็นเพราะไม่ไว้ใจกันและกัน คิดว่าอีกฝ่ายหวังอะไรบางอย่างจากตน หรือมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในคำชมเหล่านั้น เช่น ถ้ามีผู้ชายคนหนึ่งชมคุณสมร เธอก็จะคิดว่าเขามาจีบหรือต้องการให้เธอช่วยทำอะไรบางอย่างให้
หลายคนคงเคยได้รับคำชมว่า "เธอเก่งจัง" แล้วตามด้วย "อยากให้ช่วย...ให้หน่อยได้มั๊ย"
ใครที่ได้รับคำชม แล้วตามด้วยคำขอร้องให้ทำโน่นทำนี่บ่อยๆ เข้า ก็จะพัฒนาความรู้สึกไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจว่าเวลาได้ยิน จะเป็นคำชมที่บริสุทธิ์ใจ หากแต่ชมเพราะหวังบางสิ่งบางอย่างจากตน
บางครั้งก็เกี่ยวกับลักษณะของคนที่ชมด้วย ถ้าคนชมฉลาดกว่า สวยกว่า คนที่ได้รับคำชมมักจะไม่ชอบใจ รู้สึกว่าเป็นคำชมที่ไม่จริงใจ
กลัวที่จะยอมรับ
บางคนกลัวคำชมเพราะเกรงว่าเมื่อมีคนชมมาก ตนเองจะเป็นจุดเด่น ทำให้เป็นที่หมั่นไส้หรืออิจฉาของคนอื่นๆ
บางคนกลัวที่จะได้รับคำชมในตอนแรก จนกว่าจะมีคนอื่นๆ มาชมในเรื่องเดียวกันซ้ำๆ เสียก่อนจึงจะถึงจุดที่พูดว่า "ขอบคุณ ฉันก็ว่ายังงั้นเหมือนกัน" ทั้งนี้ก็เพราะต้องได้ยินจากหลายปากซะก่อน จึงจะเกิดความมั่นใจว่าเป็นจริง
โรคไม่ชอบคำชมน่าจะเป็นความผิดปกติทางจิตใจที่รักษาได้ไม่ยาก แต่ถ้าอาการรุนแรงก็คงต้องพึ่งจิตแพทย์
แล้วจะต้องทำอย่างไร
สำหรับคนที่บางครั้งรู้สึกไม่สบายใจเวลาที่มีคนชม ลองเปลี่ยนปฏิกิริยาที่เคยโต้ตอบด้วยการให้ร้ายตนเองหรือตอบกลับให้คนชมรู้สึกไม่ดี มาเป็นคำพูดง่ายๆว่า "ขอบคุณ" และตามด้วยรอยยิ้ม จะดีกว่า
นอกจากนั้น ลองฝึกมองดูตนเองในกระจก หาคำพูดเพราะๆดีๆมาชมตัวเอง พูดดังๆ เพื่อฝึกรับฟังคำชมจากเสียงของตนเองโดยไม่คิดหาข้อโต้แย้งร้ายๆ ขึ้นมา
เวลาที่ได้รับคำชม ไม่ว่าตัวเองจะคิดยังไง คำตอบควรเป็นคำที่อยู่ในวงเล็บเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเรารู้สึกไม่ดีกับตัวเอง หรือไม่เชื่อสิ่งที่เขาชม
คำชม: บ้านสวยจังเลย
คำตอบ: รกไปหน่อยค่ะ (ขอบคุณ)
คำชม: อาหารอร่อยมาก คุณทำกับข้าวเก่งจริงๆ
คำตอบ: ฉันว่าวันนี้ออกจะเค็มไปนิด (ขอบคุณ)
คำชม: สูทสีน้ำเงินสดอย่างนี้คุณใส่แล้วดูดีจริงๆ
คำตอบ: สีอื่นๆที่เคยใส่มันแย่หรือไง (ขอบคุณ)
โรคนี้หายได้ด้วยคำวิเศษ 2 พยางค์เท่านั้นคือ ขอบคุณ
ดีใจมากครับ ที่มีใครสักคนหนึ่ง มีความรู้ มีประสบการณ์ วิเคราะห์ลักษณะจิตใจของคนให้เราได้เรียนรู้กัน
ผมเป็นคนหนึ่งที่นำจิตวิทยามาใช้ในชีวิตการทำงานที่ปรึกษาธุรกิจอย่างมาก พบเจอคนหลายๆ แบบ ต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน และ วิธีคิดของเขา ที่ขัดกับการพัฒนาตัวเค้าเอง และ องค์กร์
คนที่ได้ต้องการคำชม หรือ ไม่อยากให้ใครเห็นความดีประเภทนี้ สวมหน้ากากหินแกรนิตที่หยาบกระด้างไวเบื้องนอก ด้านในเป็นเนื้อหนังอ่อนนุ่มราวปุยฝ้ายที่อาจถูกทำร้ายมามาก หรือ ขยาดความผิดหวัง ผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น
ผมว่าคนพวกนี้น่าสงสารมากครับ บางคนมีอารมณ์นี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนชัดเจนตอนอายุมากๆ เข้ากลางคนแล้ว เลยทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่น่าคุยด้วย ไม่น่าเข้าใกล้ไปเลย
คำว่า "ขอบคุณ" ของป้าเจี๊ยบนี่ เด็ดขาดครับ ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง คำนี้ทำให้หัวใจละเอียดอ่อนอย่างมหัศจรรย์
ถึงตรงนี้ ขอนำ Blog ขอป้าเจี๊ยบ ไปไว้ที่ Planet "หัวใจละเอียด" นะครับ ที่นั่นผมพยายามรวบรวมท่านผู้รู้ที่สร้างสรรค์งานเขียนแนวเจียระไนหัวใจให้ละเอียดขึ้น
ดีใจอีกอย่างที่ได้เขียนความเห็นคนแรก :)