ในชีวิตประจำวันทุกคนคงเจอทั้งคำชมและคำติ แต่ถ้าถามตัวเองแล้วสิ่งที่คุณได้มันดีกับชีวิตเราอย่างไร ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่หลังจากได้ยินคำพวกนี้มา....
เพราะหลายครั้งที่ได้รับคำชมเราก็จะหน้าบาน มีความสุขและกำลังใจที่จะทำชีวิตในส่วนนั้นต่อไป แต่จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ก็ทำแค่นี้ล่ะเพราะแค่นี้ก็ดีแล้ว นั่นก็แล้วใครจะคิดอย่างไร
แต่เมื่อวันหนึ่งเราเจอคำติ ที่มีมุมที่อาจนำไปคิดได้ 2 ประเด็นคือ คำตินี้เป็นคำติเพื่อก่อก็ได้ ติเพื่อทำลายก็ได้เช่นกัน ขึ้นกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจคุณแต่ละคนที่จะตัดสิน แม้ว่าประโยคที่ได้ยินจะเหมือนกัน หลายคนจะรู้สึกทดท้อต่อคำติ รู้สึกไม่อยากได้ยินเพราะทำให้หมดกำลังใจ แต่บางครั้งคำติก็เหมือนขี้ฝุ่นที่อยู่ในตาเราที่มองเองไม่เห็นจนกระทั่งคนอื่นมาช่วยเหลือเขี่ยออกให้ เพราะถ้ามองในแง่ดีเราก็จะได้มุมมองใหม่ๆที่เติมส่วนขาดให้เต็มและสมบูรณ์ที่สุดได้นะ
โดยประสบการณ์ที่ทำงานโรงเรียนพ่อแม่เราอยากบอกว่าเราได้ประโยชน์จากคำติมากกว่าคำชม เพราะคำชมเป็นเรื่องปกติ ในคนไทย โดยเฉพาะคนไทยที่เป็นผู้รับบริการ เพราะไม่กล้าประเมินไม่ดี ไม่กล้าติ ความพึงพอใจที่เคยได้ไม่เคยต่ำกว่า 80 % แต่เมื่อเราบอกให้เต็มที่ บอกว่าเราขอความจริงนะ เราต้องการนำไปพัฒนางานนะ เพราะถ้าคุณไม่บอกเรา เราก็จะคิดว่าเราดีแล้วจริงๆ ช่วยประเมินหน่อยแล้วเราจะได้รู้ข้อบกพร่องของเรา เราก็จะได้ข้อเสนอแนะดีๆจากผู้รับบริการของเราที่เรานำไปพัฒนางานได้อีกหลายอย่าง เช่น สื่อไม่ชัดเพราะเดิมเราใช้จอทีวีจอเล็ก ตอนนี้เราก็ได้ทีวีจอใหญ่เบิ้มแล้ว ผู้สอนเสียงเบา เราก็ได้ไมค์โครโฟนแล้ว ผู้สอนสอนดีไม่ดีเราก็ได้ข้อมูลไปแจ้งให้ตัวผู้สอนทราบโดยไม่ใช่เสียงเราคนเดียวแต่เป็นผลการประเมินจากผู้รับบริการ..(เราก็ไม่โดนว่า เพราะเราไม่ได้พูดนะ แต่เป็นเสียงจากผู้รับบริการนะ..ตัวเอง)
อยากฝากให้คุณท่านอย่าท้อกับคำติ แต่โปรดนำคำติไปพัฒนางานต่อไปนะคะ เพราะถ้าไม่สนิทกัน ไม่รักกันจริงใครคงไม่กล้าติคุณแน่ๆ
สวัสดีค่ะ คุณศศิชล
โครงการโรงเรียนพ่อแม่ ชื่อน่ารักมากเลยนะคะ
เคยได้อ่าน ... ชมในที่สาธารณะ แต่ให้ติต่อหน้าในที่ลับ
โดยส่วนตัวจะชอบคำติ และรับได้ค่ะ ส่วนคำชมก็เฉยๆ แต่มีแอบยิ้มในใจ
อ่านแล้วได้ข้อคิดดี ขอบคุณค่ะ