ความมุ่งหวังของการนิเทศงานโรงเรียนพ่อแม่นั้น อยากแจ้งให้ทราบว่าเราไม่ได้ต้องการไปจับผิดว่า"คุณทำหรือไม่ทำ อย่างไร" แต่เราต้องการลงไปให้คำแนะนำ ชี้ทางง่ายๆที่คุณจะทำงานโรงเรียนพ่อแม่ได้ตามบริบทที่เป็นจริง บางแห่งก็บอกเราตรงๆว่ายังไม่ได้ทำ เพราะไม่มีเวลา คิดว่ายุ่งยากที่จะต้องทำ ดีคะที่บอกเราตามตรงเราก็เลยคุยกัน ปรับความเข้าใจของผู้ปฏิบัติและผู้นิเทศว่าจะทำอย่างไรให้ง่าย แล้วอธิบายให้เข้าใจเพิ่มเติม แล้วแต่ละท่านก็บอกว่า...ถ้าให้ทำแค่เนี่ย ทำได้ไม่ยาก...หลงคิดว่ายากซะตั้งนาน...
เรื่องที่เราบอกก็เหมือนทุกๆครั้งที่เราบอกเล่าให้พี่น้องทั้งหลายทราบนั่นล่ะว่า
1. กลับไปทบทวนงานสอนที่สอนอยู่เดิมว่าสอนอะไรกันบ้างทั้งตัวเราเองสอนอะไร ทันตะแพทย์สอนอะไรเวลาตรวจฟัน เภสัชกรสอนอะไรเวลาไปรับยา นักโภชนากรสอนอะไร ห้องคลอดสอนอะไร หลังคลอด แผนกเด็ก งานตรวจสุขภาพเด็กดีเวลาเด็กมารับวัคซีนในแต่ละครั้งสอนอะไรกัน
2. สอนตอนไหนกันบ้าง ใช้เวลาเท่าไหร่
3. ให้ทุกคนเขียนเรื่องที่สอน พร้อมระบุสื่อที่ใช้สอน แล้วรวบรวมเป็นแผนการสอนหนึ่งเดียวของโรงพยาบาลนั้นๆ
4. ทุกคนก็สอนตามแผนอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ และเมื่อมีเจ้าหน้าที่ใหม่เราก็นิเทศการสอนด้วยแผนการสอนที่เราทำไว้ เพื่อให้สอนในแนวเดียวกัน และเมื่อมีวิชาการใหม่ๆทันสมัย เราก็นำมาคุยปรับแผนการสอนเพิ่มเติมในอนาคตได้
5. เมื่อสอนแล้วเราก็ต้องมีการประเมินผลการสอนซักนิดว่าที่เราสอนไปเขารับรู้กันซักแค่ไหน นำไปปฏิบัติหรือเปล่า เพราะทุกครั้งที่มาเราก็ต้องพูดคุยกับผู้รับบริการอยู่แล้วใช่มั้ยค่ะ
6. เมื่อพบว่าผู้รับบริการขาดตกบกพร่องในส่วนไหนเราก็สอนเสริมเติมให้เต็ม แล้วนำผลการประเมินมาพัฒนาระบบการสอนให้ดีขึ้น ว่าบกพร่องจากตรงไหน เช่นตัวผู้สอน การถ่ายทอด สื่อการสอน ระยะเวลาที่ใช้สอน หรือตัวผู้เรียน เราก็นำไปปรับปรุงเป็นวงจรต่อไปเรื่อยๆ
7.เก็บตัวชี้วัดกันอย่างไรก็แล้วแต่โรงพยาบาลนั้นๆว่าต้องการศึกษาเรื่องอะไรในงานโรงเรียนพ่อแม่ เช่น น้ำหนักตัวน้อย คลอดปกติ พัฒนาการสมวัย ฟันไม่ผุ ความพึงพอใจ ฯลฯ
แต่ฝากไว้นิดว่า"โรงเรียนพ่อแม่ก็ทำงานเหมือนโรงเรียน คือ มีแผนการสอน มีคุณครูผู้สอน มีการประเมินผลการสอน และมีเด็กที่เข้าเรียนระหว่างเทอม ระหว่างปี" เพราะหลายแห่งที่เราไปนิเทศจะเข้าใจว่าต้องเริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่ท้องแล้วติดตามไปเรื่อยๆจนกว่าจะคลอด ผ่านไปหลังคลอดแล้วลูกมารับวัคซีน จึงทำให้เริ่มงานได้ช้าแล้วก็ได้ผู้รับบริการที่เข้าโรงเรียนพ่อแม่น้อยกว่าที่ควรเป็น
การเก็บข้อมูลตัดเป็นช่วงๆในแต่ละระยะได้เลยนะคะ หญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด เด็ก0-5 ปี ไม่จำเป็นต้องเป็นการเก็บที่ต่อเนื่องก็ได้ แต่ควรย้อนกลับไปดูได้ว่าแต่ละคนเริ่มเข้าโรงเรียนพ่อแม่เมื่อไหร่เพื่อเปรียบเทียบผลงานของโรงเรียนพ่อแม่กับงานเดิมที่ไม่มีโรงเรียนพ่อแม่ พอได้ไอเดียมั้ยคะ
อยากให้ลองทำเพราะงานสอนคืองานของอาชีพเราคงตัดทิ้งไปไม่ได้แน่ๆ แล้วที่เราสอนๆไป เราไม่อยากประเมินผลเลยเหรอว่าเขาได้อะไรกันติดตัวไปบ้าง หรือคุณต้องการเพียงยอดสอนเท่านั้นเองแต่ไม่สนใจเรื่องคุณภาพ เติมไฟหรือใส่ไฟให้ท้อไม่รู้ซินะ...เหนื่อยหน่อยตอนเริ่มต้นคะแล้วสุดท้ายจะสบายขึ้นเยอะ จริงๆนะ เราผ่านมาแล้วเลยขอบอก.....
ในส่วนทีคุณหมอนนท์แนะนำ เรากำลังพยายามอยู่คะ อยากให้มันเกิดขึ้นทุกวันที่สอน แต่ส่วนใหญ่ยังเจอปัญหาเหมือนการอบรมทั่วไปที่คนไทยเราละลายพฤติกรรมยากมาก โดยเฉพาะการอบรมที่มีเวลาจำกัด....1/2ชั่วโมง เงียบ ยิ้ม พยักหน้า นานๆจะเจอกลุ่มที่คุยเก่งที คนนั้นก็จะถูกมองแปลกๆจากกลุ่มค่ะ..
ขอบคุณคุณหมอนนท์มากๆคะ สำหรับแหล่งข้อมูลดีๆ เลยข้อนำมาเก็บไว้ที่ เรื่องเรียนรู้นอกโรงเรียน แล้วคะไว้อ่านอีกหลายๆวันค่ะ