ชีวิตที่พอเพียง : 310. มิติทางจิตวิญญาณ


          ผมเป็นคนที่มีความเชื่อว่ามิติทางจิตวิญญาณกับชีวิตทางโลกเป็นของคู่กัน     เป็นสิ่งเดียวกัน     หรือมิติทางจิตวิญญาณช่วยให้ชีวิตทางโลกเป็น "ชีวิตที่อุดม" เต็มอิ่ม     หรือมองว่ามิติทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่วิวัฒนาการมากับความเป็นมนุษย์      เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของความเป็นมนุษย์     ถ้าสังคมมีวิธีส่งเสริมให้มิติทางจิตวิญญาณของผู้คนในสังคม เข้มแข็ง      สังคมนั้นก็จะมีสันติสุข

          ในขณะเดียวกัน ถ้าแต่ละบุคคลรู้จักวิธี "ออกกำลังจิต" (spiritual exercise)     มิติทางจิตวิญญาณของผู้นั้นก็จะเข้มแข็ง      ผมเคยไปสังเกตกิจกรรมโรงเรียนชาวนา ของมูลนิธิข้าวขวัญ ที่สุพรรณบุรี      ที่เขาเรียนรู้และจัดการความรู้ในการทำนาปลอดสารพิษ ไม่ใช้สารเคมี     และมีข้อสังเกตกับตนเองว่า ชาวนาที่บรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ได้     ต้องเกิดการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณไปด้วยพร้อมๆ กัน     คือเกิดจิตใจที่มีความโลภน้อย  คิดถึงคนอื่น (ผู้บริโภค) มากขึ้น     มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจ อยากให้คนอื่นได้กินข้าวที่ไม่มีสารพิษ เป็นต้น

          ผมมีข้อสังเกตว่า มิติทางจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของ "สัมมาทิฐิ" อยู่มากทีเดียว     ผมเคยประสบในชีวิตของตนเองว่า สัมมาทิฐิ ในหลายกรณี ถูกมองว่าคร่ำครึ ล้าหลัง     หรือแปลกไปจากวิถีทั่วไป     เช่น ผมเคยเห็นนักเรียนช่วยกันสร้างบรรยากาศว่าเพื่อนนักเรียนที่ไม่ให้เพื่อนดูกระดาษสอบเป็นคนเห็นแก่ตัว     และการทุจริตในการสอบเป็นเรื่องธรรมดา     นักเรียนที่ดีต้องร่วมมือกับเพื่อนในการทุจริตในการสอบ     ซึ่งเรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับประเพณีรับสินบน  หรือสินน้ำใจ ของข้าราชการในบางกรม     ข้าราชการคนไหนไม่รับ ถือเป็นแกะดำ     

           จะเห็นว่าในบางสังคม  มีการทำให้ "มิจฉาทิฐิ" เป็นวิธีปฏิบัติตามประเพณีนิยม     สภาพเช่นนี้ปรากฎอยู่ทั่วไป รุนแรงมากบ้างน้อยบ้าง     เป็นส่วนหนึ่งของระดับคุณธรรมจริยธรรมในสังคม

          สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย และจะไม่ยอมร่วมโบสถ์ด้วยอย่างเด็ดขาด     คือการทำงานสาธารณะ (ราชการ  การเมือง  เอ็นจีโอ) เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนหรือพวกพ้อง     ยิ่งเข้าไปมีอำนาจ เพื่อจะได้ออกกฎออกระเบียบเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องของตนได้เปรียบอย่างที่คุณทักษิณทำ  ผมยิ่งไม่เอาด้วย  และจะหาทางคัดค้านเต็มที่

         ผมมองว่า เป็นการกระทำที่ทำลายศีลธรรมของสังคม   

วิจารณ์ พานิช
๒๓ มิ.ย. ๕๐

หมายเลขบันทึก: 107935เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2007 10:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 08:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • ขอบคุณครับ ที่กระตุ้นให้ผมซึ่งเป็นผู้อ่านมีจิตสำนึกที่ดีครับ

 

สวัสดีค่ะ...

แหวว พกพา จิตวิญญาณแห่งความรักทางธรรม นำดอกไม้เล็กๆ สีขาว ที่ใครๆอาจเห็นเป็นเพียงดอกไม้กระจิริด...แต่สำหรับแหววมันมีความงามทางธรรมชาติอย่างมากๆ มามอบให้อาจารย์ในวันดีดี..งามๆ...ค่ะ..แอบมาขโมยความรู้ไปบ่อยๆ..แต่มิได้บอกกล่าว..อาจารย์อาจจำแหววไม่ได้ว่าแหววเคยได้รับรางวัลจตุรพลัง และเสื้อแจคเก็ต ในฐานะ "ยอดคุณกิจ แห่งเดือน กันยายน 2548 ค่ะ ในนามเดิมคือ "รุ่งเพชร"ค่ะ.. ไม่ได้หายหน้าไปไหนค่ะ..ยังทำงานจัดการความรู้สู่คุณภาพอยู่ตลอดเวลาค่ะ...

img171/4534/julyflower0415ku7.jpg

ขอให้อาจารย์มีความสุขมากๆนะคะ..

   พอมิติทางจิตวิญญาณหายหรือเสื่อมไป  บรรดาความเชี่ยวชาญในความรู้ หรือศาสตร์ทั้งหลาย ก็ค่อยๆดึงคนให้ใช้พลังของความรู้ แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสิญ สุข ใส่ตนเป็นหลัก ทั้งนี้โดยมี เสือสามตัว มาแทนสิ่งที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ 
   เสือสามตัวมีชื่อเรียกว่า .. ราคะ โทสะ และ โมหะ ครับ .. และที่บางคนกลับบ้านไม่ได้ก็เพราะเสือสามตัวนี่แหละครับ.

สวัสดีครับ

ใครจะว่ายืนกระต่ายขาเดียวไม่ดี แต่ยังไงก็แล้วแต่ผมก็ขอยืนขาเดียวแบบกระต่ายตัวนั้นที่ยืนขาเดียวอยู่ฝากสัมมาทิฐิเช่นกันครับ

ขอบพระคุณมากครับ

ขอเรียนตอบ comment ของคุณหมอตาม weblink นี้ค่ะ:

http://www.okkid.net/blog_journal_detail.php?journal_id=869

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท