เราตั้ง โจทย์ชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา มันไม่สำคัญที่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ เรามองมันอย่างไร
ไม่ได้เขียนบันทึกเสียนาน เพราะต้องใช้เวลาแต่ละวันกับงานหลายงาน เหลือเกิน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาส เข้ากลุ่ม พัฒนาตนเองกับ แพทย์รุ่นพี่ ซึ่งมีประสพการณ์สูงมาก ในการทำงานกับผู้คน เมื่อสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ก็แปลหนังสือ เรื่อง ดุลยภาพแห่งชีวิต ของ ตาร์ถังตุลกู ซึ่งผมไม่สามารถอ่านได้จบ สักครั้ง สงสัยว่าจะหัวไม่ถึง
ในการสัมมนา ผู้บรรยาย บอกว่า เมื่อเราได้เรียนรู้อะไรก็ตาม ระหว่างการดำเนินชีวิต ถ้าเราตั้งใจเรียนรู้จริง หลายครั้งที่จะเกิดอาการ วาบ ปิ๊ง ( Breakthrough ) ขึ้นมาเมื่อเจอหรือได้ยินเรื่องราวอะไรบางอย่าง แล้วเรื่องราวนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นความรู้ที่เราได้นำมาพัฒนา ผมนั่งฟัง แล้วก็ว่าท่าจะจริง เพราะหลายครั้งมาก ที่ผมได้เรื่องมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากการ วาบปิ๊ง ซึง เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่เกิดในชีวิต หรือในงานปกติ ในงานสัมมนาก็มีเรื่อง วาบปิ๊ง หลายเรื่องครับ
ผู้บรรยายบอกว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนไม่มีปัญหา มันเป็นของมันอยู่แล้ว แต่ปัญหาเกิดจาก เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร
สมมุติ ถ้าเราสอบได้ C จากเคยได้ D มาตลอด ขณะที่อีกคนได้ C แต่ไม่เคยสอบได้ต่ำกว่า A เลย การสอบได้ C มันก็เป็น เรื่องที่เกิด ขึ้นของมัน แต่การมองการได้ C ที่ต่างกันต่างหาก ทำให้คน 2 คนมีการตอบสนอง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกัน
มีเรื่องเล่า เรื่องหนึ่ง ในการประชุมกลุ่ม ที่อยากเล่าให้ฟังครับ
สมหวัง เป็นพนักงานทำความสะอาด ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มีลูกสองคน คนโตผู้ชาย ชื่อ เด็กชาย สุทัศน์ อายุ 14 ปี ส่วนคนเล็กเป็นผู้หญิง อายุ 9 ปี อยู่กันสามคน เพราะสามีเสียชีวิตแล้ว สมหวังทำงานดีมากและอยู่มานาน จน หัวหน้าไว้วางใจ ให้นำเด็กชายสุทัศน์ มาทำงานด้วยได้ เพราะไม่มีเงินจะเรียนต่อ และเป็นผู้รับรองสุทัศน์ต่อทางห้าง
โดยให้สุทัศน์อยู่แผนก ขายซาลาเปา ทุกวันทางห้างมีกฏว่าต้องนำซาลาเปา ที่เหลือทุกชิ้นทิ้งทั้งหมดเพื่อ การันตีว่าซาลาเปาของห้างนี้ สดใหม่ทุกวัน และเป็นจุดขายจุดแข็ง ของห้างทีเดียว วันหนึ่ง เด็กชายสุทัศน์ขณะที่กำลังทิ้ง ซาลาเปา นึกขึ้นมาว่า ถ้า น้องสาวได้กินซาลาเปาก็น่าจะดี ยังไง ก็จะทิ้งอยู่แล้ว จึงเก็บซาลาเปาไส้ครีมใส่กระเป๋า 2 ลูก เพื่ออาไปฝากน้องสาว แต่ยาม จับได้ ส่งให้หัวหน้า ตาม กฏของห้างต้องส่งตัวไปส่ง ตำรวจ หัวหน้าก็ต้องทำตาม ห้างแจ้งผู้จัดการว่าให้ดำเนินคดีตามกฏหมายโดยเคร่งครัด
สุทัศน์ต้องนอนในคุกโดยมีข้อหา ที่ตำรวจตั้งว่าลักทรัพย์ยังไม่มีเงินประกัน สมหวังถูกไล่ออกจากงาน และ ต้องนั่งเฝ่าสุทัศน์ที่สถานีตำรวจ โดยน้องสาวรอกินข้าวเย็นอยู่คนเดียวที่บ้าน ไม่รู้ว่าแม่กับพี่ชายไปไหน
หลังจาก ทุกคนในกลุ่มอ่านเรื่องนี้เสร็จ ก็มีคำถาม เพื่อให้ทุกคนอภิปราย ว่า สมหวัง สุทัศน์ ยาม ผู้จัดการ ตำรวจ ห้าง "ใครเลวที่สุด"
ทุกคนเมื่อได้รับการกระตุ้น ก็อภิปรายอย่างเมามัน ว่าใครเลวที่สุด พร้อมหาเหตุผลสนับสนุนความเลว คนนี้บอกผู้จัดการเลว อีกคนบอก ห้างเลวกว่าเยอะ ผมเลยบอกว่า ซาลาเปานี่แหละเลวจริง ๆ ปิดท้าย พี่สูงอายุ คนหนึ่งพูดนิ่ม ๆ งึมงำ ๆ ว่า ไอ้คนเขียนเรื่องนี้นี่แหละเลวที่สุด ( อ้าวเป็นงั้นไป แกบอกว่า ก็ทุกคนบอกครบหมดแล้ว แกก็เลยต้องหาที่เลวที่สุดกว่า )
ทุกกลุ่มก็จะนำเสนอประมาณแหละ นี้ครับ ผมก็ยังสงสัยอยูในใจว่าใครเลวกว่าใครกันแน่ ยังหาคำตอบไม่ได้เลย ?
ตอนหลัง ผู้บรรยาย บอกว่า ขอโทษที ตั้งโจทย์ผิด ความจริง อยากถามว่า " ใครน่าสงสาร แล้วเราจะช่วยเขาได้อย่างไร "
พอได้ฟังคำถามใหม่ ใจผมไม่ได้นึกอีกเลยว่าใครเลวที่สุดกันแน่ ไม่สนใจด้วยว่าใครจะเลวที่สุด เพราะ ถึงได้คำตอบก็ไม่เห็นมีอะไร และก็มองเห็นคำตอบที่เป็นไปได้
เราตั้ง โจทย์ชีวิตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราตลอดเวลา มันไม่สำคัญที่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ
เรามองมันอย่างไร แล้วเราตั้งโจทย์กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรต่างหาก
หลายครั้งเราก็ตั้งโจทย์ผิดเอง ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลย