คือการรวมกลุ่มเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมาย
เพื่อลดภาษีศุลกากรระหว่างกันภายในกลุ่มลงให้เหลือน้อยที่สุดหรือเป็น
0% และ ใช้อัตราภาษีปกติที่สูงกว่ากับประเทศนอกกลุ่ม
การทำเขตการค้าเสรีในอดีตมุ่งเน้นในด้านการเปิดเสรีด้านสินค้า
โดยการลดภาษีและอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษีเป็นหลัก
แต่เขตการค้าเสรีในระยะหลังๆ นั้น รวมไปถึงการ
เปิดเสรีด้านบริการและการลงทุนด้วย
เขตการค้าเสรีที่สำคัญในปัจจุบัน คือ AFTA (เขตการค้าเสรีอาเซียน) และ
NAFTA (เขตการค้าเสรีแห่งทวีปอเมริกาเหนือ)
ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯอยู่ระหว่างการเจรจาทำเขตการค้าเสรีในภูมิภาคอเมริกา(Free
Trade Area of the Americas : FTAA)
เหตุใดจึงต้องทำการค้า FTA
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
มีแนวโน้มไปสู่การเปิดตลาดเสรีมากขึ้น การเจรจา WTO
(องค์การการค้าโลก)
ชะงักงันประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยต่างหันไปเปิดเขตการค้าเสรี 2 ฝ่าย
(FTA) กันมากขึ้น หากไทยอยู่นิ่งจะสูญเสียตลาดไทย
จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรองรับเขตการค้าเสรี : FTA
สถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้ FTA
เป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสการส่งออกทั้งตลาดเดิม
และขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ
- ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเซีย
- เพิ่มรายได้การส่งออก
- สร้างฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็งในการพัฒนาประเทศ โดยขยายการส่งออก
เพิ่มการจ้างงานและรายได้ให้ผู้ประกอบการ เกษตรกร
ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจรากหญ้าไทยทำ FTA
กับประเทศใดบ้าง
ปัจจุบันไทยทำ FTA กับ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย
เปรูสหรัฐฯ บาห์เรน กับ 1 กลุ่มเศรษฐกิจ คือ BIMST-EC(บังกลาเทศ
อินเดีย พม่า ศรีลังกา ภูฎาน เนปาลและไทย) ซึ่งครอบคลุมประเทศคู่ค้า
สำคัญของไทย(ยกเว้น EU) และครอบคลุมการค้า ประมาณ
43.8%ของมูลค่าการค้ารวมของไทย
และหากรวมอาเซียนด้วยแล้วจะครอบคลุมการค้าถึง 62.5%
ของมูลค่าการค้ารวมของไทย
ก้าวต่อไปจะพิจารณาเตรียมความพร้อม ในการเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป
แคนาดาแอฟริกาใต้ ชิลี เม็กซิโก เกาหลี กลุ่ม Mercosureและ EFTA
(นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์และ ลิกเตน-สไตน์)
สินค้าและบริการที่เป็นเป้าหมายสินค้า
แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม ได้แก่ อาหาร, แฟชั่น,
รถยนต์และชิ้นส่วนฯ บริการ กลุ่มหลักๆ เช่น
การท่องเที่ยว,การบริการสุขภาพและ Life Science,
การก่อสร้างและออกแบบตกแต่งฯ
รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า
โดยรวมแล้ว ต่างยอมรับกันแล้วว่า “นโยบายการค้าเสรี”
ถือเป็นสิ่งที่ดีและจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะโลกยุคใหม่พัฒนาไปเร็วมาก
ทำให้เกิดโอกาสใหม่ทางธุรกิจมากมายในตลาดโลกแต่ปัญหาใหญ่ที่ตามติดมา
ก็คือ “การแข่งขัน” ในรูปแบบต่างๆ จะเกิดขึ้นควบคู่กันทันทีทั้งนี้
การจะได้ประโยชน์จากการเจรจาเปิดเสรีทางการค้าหรือไม่นั้น
ต้องอยู่ภายใต้ เงื่อนไขสำคัญ คือจะต้องสร้าง “ความสามารถการ
แข่งขันของธุรกิจไทย”ให้เกิดขึ้น
ซึ่งขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของรัฐบาลเป็นสำคัญ
การสร้างประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเอกชนโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งจะต้องปรับและพัฒนาตัวเองอีกมาก
ต้องมีระบบ กับการบริหารงานที่ดีให้มีความเป็นมืออาชีพ โปร่งใส
ได้ประสิทธิภาพเพื่อให้แข่งขันได้ในตลาดสากลประกอบกับจะต้องสร้างธรรมาภิบาลของภาครัฐ
ที่ไม่เพียงเฉพาะการสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้เท่านั้น หากยังจะต้อง
“ความมีประสิทธิภาพทางการบริหาร”ที่จะต้องดีจริง
วัดและพิสูจน์ได้อีกด้วยการจัดทำเขตการค้าเสรีจะบังเกิดผลอย่างใดนั้น
จึงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่จะต้องมีมาตรการ
การประสานร่วมมือกันอย่างเป็นเอกภาพและจริงจังเพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวมอย่างยั่งยืนตลอดไป
ไม่มีความเห็น