หน้าแรก
สมาชิก
Prof. Vicharn Panich
สมุด
KMI Thailand
ข้อเสนอต่อคณะกรรม...
Prof. Vicharn Panich
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (๔)
เริ่มจากความสำเร็จของครู เข้าไปส่งเสริมให้ต่อยอด
ข้อเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา (๔)
ในตอนที่ ๒ ได้เสนอว่าต้องเปลี่ยนสไตล์การบริหารงานของผู้บริหารระดับสูงสุดของกระทรวงศึกษาฯ จากสไตล์ command & control ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไปเป็นสไตล์ empowerment และตอนที่ ๓ ได้เสนอว่าต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์พัฒนาครู จากเน้นการฝึกอบรมหรือศึกษาต่อแบบที่ใช้ในปัจจุบัน ไปสู่การเน้นการเรียนรู้ที่แนบแน่นอยู่กับการปฏิบัติงานประจำ ในตอนที่ ๔ นี้จะเสนอให้
เปลี่ยนกระบวนทัศน์ จากการพัฒนาครูโดยเน้นเอาความรู้ภายนอกไปให้แก่ครู ไปสู่การพัฒนาความรู้ความสามารถของครูจากฐานความสำเร็จของครูเอง
คือเน้นความรู้จาการทำงานเหนือความรู้เชิงทฤษฎี เน้นความเชื่อว่าครู (ดีและเก่ง) มีความรู้จากการทำงาน
ตรงนี้ต้องระวังวิธีคิดให้ดี ผมไม่ได้บอกว่าการเอาความรู้ภายนอกไปให้แก่ครูเป็นการกระทำที่ผิด แต่การเอาความรู้ไปให้แก่ครูในรูปแบบและวิธีคิดในปัจจุบันนั้นผิดหรือก่อปัญหา เพราะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกียรติความรู้จากการทำงาน และไม่ให้เกียรติครูเป็นผู้คิด ว่าต้องการความรู้อะไร เมื่อไร ไม่ให้เกียรติความรู้ที่มาจากการปฏิบัติ และเป็นการไม่ส่งเสริมการทำงานสร้างสรรค์ของครู ทำให้ครูที่ทำงานแบบแหวกแนวและได้ผลดีต่อศิษย์หมดกำลังใจ
การเอาความรู้จากภายนอกไปให้ครูยังต้องทำครับ ยิ่งต้องทำมากขึ้นด้วยซ้ำไป แต่ต้องไม่เอาความรู้ภายนอกเป็นตัวนำ ต้องเอาผลงานของครูเป็นตัวนำ ให้กลุ่มครูที่มีผลงานเป็นผู้กำหนด ว่าเขาอยากเรียนรู้อะไรจากภายนอก การเรียนรู้จากภายนอกก็จะมีทิศทางเป้าหมายเพื่อไปหนุนการทำงานของกลุ่มครูผู้มีผลงานโดยตรง ไม่ใช้หนุนนโยบายแบบฉาบฉวยชั่วคราว หรือหนุนคณะวิทยากร / หนุนหน่วยงานผู้ไปถ่ายทอดความรู้ เป็นสำคัญ ตรงนี้ต้องอ่านข้อเขียนนี้ให้ดีๆ นะครับ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ควรคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มากำหนดนโยบายชั่วคราว / คณะวิทยากร / หน่วยงานผู้ถ่ายทอดความรู้ เราควรคำนึงถึง win – win situation แต่ต้องให้ประโยชน์ของครูผู้ทำงานจริงจัง และมีผลงานเป็นปฐม ไม่ใช่เป็นสุดท้าย หรือแทบไม่คำนึงเลยแบบปัจจุบัน จุดสำคัญที่สุดคือให้กลุ่มครูเขาเป็นผู้คิดว่าเขาต้องการการสนับสนุนอะไร เมื่อไร และควรให้เขามีโอกาสเลือกว่าเขาจะขอใช้บริการของใคร
การเรียนรู้ร่วมกันของครู จากการปฏิบัติ เรียกว่า
การจัดการความรู้
(KM – Knowledge Management) ครูควรเรียนรู้จากกิจกรรมนี้เป็นหลักใหญ่ ศึกษานิเทศก์จำนวนหนึ่งควรได้รับการฝึกให้เป็น “คุณอำนวย” ของ
กิจกรรม KM คือต้องฝึกให้เลิกทำตัวเป็นผู้รู้ไปคอยสอนครู แต่ทำตัวเป็น facilitator จุดประกายการเรียนรู้จากการทำงาน คอยเชื่อมโยงเรื่องราวของความสำเร็จในการทำงานของครู และวิธีทำงานที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้น คอยนำเรื่องราวความสำเร็จที่เป็น “ของแท้” ออกบอกกล่าวแก่สาธารณชน เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นต่อวงการครูและวงการการศึกษา และเพื่อยกย่องครูที่เอาใจใส่ลูกศิษย์ ยกย่องการรวมตัวกันทำงานและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
กลุ่มครูที่มีผลงานความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้ของศิษย์ในระดับ “นวัตกรรมจิ๋ว” (micro innovation) ควรได้รับการส่งเสริมให้เรียนต่อปริญญาโท หรือเอก ในเรื่องที่ตนมีผลงานนั้นเอง ในบางกรณีอาจเป็นการทำวิจัยเพื่อวิทยานิพนธ์แบบ “ชุดโครงการวิทยานิพนธ์”
ก็ได้ สกว. มีประสบการณ์แนวทางนี้ โดย ศ. ดร. ธีระพันธ์ เหลืองทองคำ ซึ่งขณะนี้เป็นคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้จัดการชุดโครงการ
ประเด็นสำคัญของตอนที่ ๔ นี้ ต่างจากตอนที่ ๓ ตรงที่ผมเสนอให้
พัฒนาครูจากความสำเร็จของครูเป็นสำคัญ
วิธีการดำเนินการระดับประเทศก็คือจัดทำ
“แผนที่ความดี”
ของครู ทำฐานข้อมูลว่าครูคนไหน/โรงเรียนไหน มีความสามารถ/ผลงานพิเศษในการจัดการเรียนรู้ของศิษย์ ให้เขียนรายงานใน บล็อก แล้วมีทีมงานกลางคอยติดตามอ่าน และไป “จับภาพ” ทำแผนที่ และส่งเสริมให้รวมตัวกันเป็น CoP เป็นเรื่องๆ จัดทรัพยากรอำนวยความสะดวกให้ได้มี “พื้นที่” (ba ในภาษาญี่ปุ่น) สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเอาความรู้ที่แลกเปลี่ยนกันไปทดลองปฏิบัติ และเอาผลมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอีก เป็นวัฏจักรเรื่อยไป โดยอาจเชิญ สมศ. มาร่วมส่งเสริม ทาง สพฐ. และกระทรวงศึกษาฯ เปลี่ยนมาทำหน้าที่ให้การยอมรับ ให้รางวัลในลักษณะของการรับรู้ผลงานเล็กๆ (แต่ยิ่งใหญ่) ของการสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ เน้นส่งเสริมให้ครูรวมตัวกันเรียนรู้จากการทำงานในลักษณะของการพัฒนางานโดยเริ่มจากการเรียนรู้จากผลสำเร็จเล็กๆ (success story) ผมเชื่อว่าแนวทางใหม่นี้จะประหยัดกว่า ได้ผลต่อการพัฒนาครูมากกว่า ได้ผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากกว่า และจะสร้างเกียรติภูมิของครูได้ดีกว่า วิธีการภายใต้กระบวนทัศน์ปัจจุบัน
ที่จริงข้อเสนอ ๔ ข้อของผมมันเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน ข้อความในบันทึกตอนที่ ๒, ๓, ๔ จึงดูจะซ้ำๆ หรือพันกันไปพันกันมา ผมขอสรุปแก่นของข้อเสนอว่า จะพัฒนาครูได้ในระยะยาวและได้ผลดีจริง
ต้องปลดพันธนาการครู จากกรงขังทางปัญญา
โดยขอแนะนำให้ผู้บริหารของกระทรวงฯ และกรรมการ/อนุกรรมการ ในคณะกรรมการชุดนี้ อ่านหนังสือ
การจัดการความรู้ กระบวนการปลดปล่อยมนุษย์สู่ศักยภาพ เสรีภาพ และความสุข
โดย ศ. นพ. ประเวศ วะสี หนังสือเล่มนี้ซื้อได้ที่ สคส. ในราคาลด เหลือ ๕๐ บาท
ก่อนจะจบ ผมขออภัยอีกครั้งหนึ่งหากข้อความในบันทึกนี้ไปกระทบกระทั่งท่านใด/หน่วยงานใด ผมเสนอความคิด/วิธีการ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อประโยชน์ของวงการศึกษา และของประเทศไทย
วิจารณ์ พานิช
๒๕ ธค. ๔๘
เขียนใน
GotoKnow
โดย
Prof. Vicharn Panich
ใน
KMI Thailand
คำสำคัญ (Tags):
#การพัฒนาบุคลากร
#km
#ด้านการศึกษา
#ครู
หมายเลขบันทึก: 10636
เขียนเมื่อ 25 ธันวาคม 2005 20:14 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:15 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
Prof. Vicharn Panich
สมุด
KMI Thailand
ข้อเสนอต่อคณะกรรม...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท