Chapter 2 ทางเดินที่แปรผัน


เหล้าเก่าในขวดใหม่เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจากความไม่พอใจในระบบเดิม

ตอนนี้ผมมีบริษัทจดทะเบียนอยู่ในมือแล้ว สิ่งที่จะต้องทำก็คือการหมั่นอัพเดตข้อมูลข่าวสารต่างๆ ให้กับตัวเอง และในระหว่างที่ผมกำลังศึกษาตลาดอินเทอร์เน็ตเมืองไทยอยู่นั้น ผมก็มองหาสินค้าที่จะนำมาขาย ดูว่ามียี่ห้อใดบ้างที่มีตัวแทนจำหน่ายอยู่แล้วในตลาด ผมมองไปถึงบริษัทที่สามารถเป็นคู่ค้าหรือ partner และบริษัทที่อาจจะเป็นคู่แข่งหรือ competitor กับเรา ซึ่งสิ่งที่ผมสรุปออกมาได้ยิ่งยืนยันความเชื่อของผมว่าธุรกิจนี้น่าจะมีอนาคตเพราะความต้องการของตลาดกำลังเพิ่มขึ้นในขณะที่ยังมีคู่แข่งอยู่ไม่มากนัก การแข่งขันยังไม่ถึงจุดอิ่มตัว แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับผมกลับวนมาที่ P ตัวที่ 3 (ทำเล) อีกครั้ง

ถ้าผมจะทำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ไอทีในกรุงเทพฯ คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องมีหน้าร้านอยู่ภายในศูนย์ไอทีไม่ว่าจะเป็น พันธ์ทิพย์ ไอทีมอล์ หรือ เซียร์รังสิต แต่อาจจะไม่ใช่โชคของผมที่ไม่มีที่ใดเลยที่มีที่ว่างให้ผมได้เข้าไปเปิดหน้าร้านได้ ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ผมทำได้ในขั้นต้นก็คือการใช้บ้านเป็นสำนักงานไปก่อน และกลุ่มลูกค้าแรกก็จะเปลี่ยนจากลูกค้าปลีกที่เดินหาซื้อสินค้าด้วยตัวเองกลายไปเป็นร้านค้าย่อยมากกว่า ผมต้องขยับจากแนวคิดการเป็น reseller มาเป็น distributor และก็ต้องมี Salesperson ค่อยออกไปหาลูกค้าเหล่านั้น คำถามที่ตามมาก็คือแล้วใครหละจะมาเป็นลูกค้ารายแรกๆ ของผม

คำถามมากมายรุมเล้าเข้ามาอย่างไม่มีคำตอบเพราะผมไม่ได้อยู่ในวงการนี้ ไม่มีประสบการณ์มาก่อนเมื่อ Physical location ไม่เวิร์ค ยังมีอีกทางหนึ่งที่ผมคิดได้ก็คือการเปิดขายสินค้าออนไลน์อย่าง Amazon ขณะที่ผมเรียนอยู่อเมริกานั้นผมคิดว่าโมเดลนี้ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันไม่ใช่แค่แฟชั่นดอทคอมซึ่ง boom แล้ว burst เจ๊งไปตามๆ กัน แต่มันคือการลงทุนที่ต้องใช้ระยะเวลาและความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี โดยกระบวนการที่รวดเร็วและเข้าใจง่ายเป็นหัวใจแห่งความสำเร็จ แต่ขณะนี้ ประเทศไทย ณ. ปี 2547 อ้างอิงข้อมูลการสำรวจของเนคเทคในเรื่องพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสั่งซื้อสินค้าของคนไทยทำให้กล่าวได้ว่า ยังไม่ถึงเวลาของ B2C หรอกครับ คนยังไม่เชื่อและใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการซื้อขายสินค้า

ผมใช้เวลาครุ่นคิดกับตัวเองอยู่พอสมควร ถามตัวเองว่าอะไรคือรูปแบบที่แท้จริงของธุรกิจที่ตัวเองต้องการ ผมควรระบุตัวตนให้ชัดเจนก่อนที่จะไปบอกคนอื่นว่าเราคือใคร ผมลองไปคุยกับเพื่อนหลายคนเพื่อขอทัศนะความคิดเห็น สิงที่ได้มาคือภาพของการทำสิ่งที่ตนเองมีฐานอยู่ ป๋องเพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมเริ่มธุรกิจของตนเองจากงานประจำที่ทำอยู่ที่บริษัทเก่า สิ่งที่ป๋องทำก็คือการเปิดบริษัทใหม่แล้วเข้าไป outsource ให้บริษัทเดิม รุ่นพี่ที่สนิทของผมอีกคนหนึ่ง บริษัทใหม่เค้าก็เกิดขึ้นจากการถอดแบบบริษัทเดิมมาทำใหม่ เหล้าเก่าในขวดใหม่เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจากความไม่พอใจในระบบเดิม โดยเหล้าเหล่านี้เป็นเหล้าชั้นเยี่ยมที่ขายได้ราคาดีด้วยสิ ตรงนี้ผมจึงได้ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองอีกทางในการหางานไปด้วย (เผื่อจะมีเหล้ามาใส่ขวด) ธุรกิจแรกที่มองก็คือ ไอทีดิสทริบิวเตอร์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ดิสตี้ ผมใช้เวลาส่วนหนึ่งในตอนเย็นเพื่อค้นหาบริษัทและตำแหน่งงานที่เหมาะกับผม โดยเผื่อใจว่าถ้ามีงานที่ดีจริงในบริษัทที่มั่นคงก็จะขอทำงานสักพักเอาประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องมาไปใช้กับบริษัทของตัวเองในอนาคต

จากการส่งใบ resume ไปตามบริษัทต่างๆ ระยะเวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็มีบริษัทหนึ่งเรียกขอสัมภาษณ์ผม และนี่ก็คืออีกหนึ่งโอกาสในการก้าวเดินของผม ผมได้เปิดโลกกะทัดของตัวเองจากผู้สัมภาษณ์ “พี่ตู่” คำถามหลักในการสัมภาษณ์มีเพียงสองคำถาม ข้อแรกหากเราเป็นแบรนด์ชั้นนำอย่างโซนี่จะรักษา market share ไว้ได้อย่างไรหากถูกการบุกด้วยกลยุทธที่เป็นรูปธรรมเช่น การชูจุดเด่นของนาโนเทคโนโลยีจากซัมซุง ข้อสองในทางกลับกันเราจะบุกตลาดอย่างไร หากเราเป็นแบรนด์โนเนมจากจีนแดงอย่าง Hier ที่สามารถสู้กับคู่แข่งด้วยราคาเท่านั้น มีช่องทางและเทคนิคอย่างไรในการแทรกซึมผลิตภัณฑ์ไปให้ถึงผู้บริโภค คำถามสองข้อนี้ไม่มีคำตอบที่ผิดหรือถูก มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงที่ผู้ปฏิบัติต้องตัดสินใจ พี่ตู่ได้สอนให้ผมรู้ว่าการตลาดแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการขาย เธอเป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่งที่ผมยอมรับ การสนทนาของเราทำให้ผมรู้ตัวว่าผมเองยังขาดประสบการณ์อยู่มากถึงมากที่สุดในเชิงธุรกิจ ความรู้และความคิดความอ่านทางด้านการตลาดยังไม่ชัดเจนพอที่จะลุยงานของตัวเองได้ หากผมได้เรียนรู้กับเธอ ผมคงเก่งขึ้นและมองเห็นภาพการดำเนินธุรกิจนี้ได้ดีขึ้นแน่ๆ

ในที่สุดวันที่แปดเดือนกรกฎาคมผมได้เข้าเริ่มทำงานกับพี่ตู่ในตำแหน่ง Product Manager (PM) ในธุรกิจดิสตี้ที่ผมต้องการ แม้บริษัทนี้จะเป็นบริษัทที่ไม่ได้มีชื่อเสียงนักแต่ดำเนินกิจการมานานจนกระทั่งติดอันดับหนึ่งในห้าสำหรับธุรกิจแขนงนี้ ผมได้เข้ามาทำงานในบริษัทที่ดี มีตำแหน่งที่ดี มีแทรนเนอร์ชั้นยอด แม้เงินจะน้อยเพราะโดนต่อรองเหลือแค่สามในสี่ของที่ขอ แต่ก็เพื่อประสบการณ์ข้างหน้าที่ยิ่งใหญ่กว่า อย่างที่อาจารย์ท่านหนึ่งของผมเคยบอกไว้ตอนผมกลับไปเยี่ยมมหาลัยหลังเรียนจบว่า “ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี เปิดบริษัทเองไม่ดีหรอก สู้เอาเงินคนอื่นมาลงทุนก่อนไม่ดีกว่าหรือ” ผมว่าจริงนะครับ ได้เรียนรู้ด้วยได้เงินด้วย ดีกว่าเรียนแบบต้องเสียเงินเป็นไหน ๆ เอาหละลองสู้ดูสักตั้งแล้วกันครับ

หมายเลขบันทึก: 104845เขียนเมื่อ 20 มิถุนายน 2007 12:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท