คุณฮัมจี้ ผู้จัดการทัวร์ของเราแนะนำให้เปลี่ยนกำหนดการ เป็นไปชมชุมชนคริสต์โบราณ ชุมชนยิวโบราณ ที่ยังดำรงอยู่ถึงปัจจุบัน อยู่ในย่านเมืองเก่า เสียก่อน แล้วค่อยข้ามแม่น้ำไนล์ไปทางทิศตะวันตกสู่เมืองกีซ่าเพื่อกินอาหารเที่ยง และอาหารเย็น ก่อนเดินทางกลับโรงแรม โดยที่ช่วงเวลาระหว่างอาหาร ๒ มื้อ ก็ไปดูปิรามิดเสียให้หนำใจ รวมทั้งไปชมโรงงานน้ำหอม และโรงงานกระดาษปาปิรัส เขาต้องวางแผนเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงเวลาที่รถติด ภายใต้วัฒนธรรมรถยนต์นี่สร้างถนนเท่าไรๆ ก็ไม่พอ เพราะรถมาประดังในเวลาเดียวกัน มันก็ต้องติด
จากโรงแรม Movenpick ซึ่ง "อยู่ที่ดอนเมือง" คืออยู่หน้าสนามบิน เรานั่งรถเข้าเมืองไคโร นครแห่งประชากร ๑๖ + ๓ ล้านคน (ตอนกลางวันมีคนจากเมืองบริวารโดยรอบเข้ามาอีก ๓ ล้านคน) โดยมีคุณออสมาน เป็นไกด์ที่มีคุณภาพความรู้ อัธยาศัย และฝีมือถ่ายภาพสูงมาก ศาสนาคริสต์โบราณที่คนอียิปต์นับถือเรียกว่า Coptic เราไปดูโบสถ์ เซนต์ เซอร์เจียส ซึ่งตำนานไบเบิ้ลว่าชั้นใต้ดินเป็นที่หลบภัยของพระเยซูในวัยทารก เพราะกษัตริย์แฮรอดของจูเดียสั่งฆ่าทารกเพศชายทุกคน โจเซฟและมาเรียจึงนำพระเยซูมาซ่อนอยู่ที่นี่เป็นเวลา ๓ ปี ๙ เดือน จนกษัตริย์แฮรอดสิ้นพระขนม์ โบสถ์นี้ได้รับการบูรณะเป็นระยะๆ เรื่อยมา เวลานี้ก็ยังใช้ เป็นโบสถ์ที่สวยงามมาก
แล้วไปชม Ben Ezra Synagogue หรือโบสถ์ยิวซึ่งเป็น 1 ใน 29 Jewish synagogue ในประเทศอียิปต์ เขาว่าก่อนเกิดประเทศอิสราเอลมีคนยิวในอียิปต์ ๕๐๐ ครอบครัว เวลานี้มีเพียง ๓๐๐ คน ในโบสถ์เขาห้ามถ่ายภาพ ถ่ายได้แต่ภายนอก
การได้ไปเห็นโบสถ์ ๒ แห่งนี้กับตา และได้รับคำอธิบายจากไกด์ ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพื้นที่และประชาชนมุสลิมกับคริสต์นี่มันซ้อนทับกัน มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน จนบอกยากว่าดินแดนไหนของใคร สิ่งไหนของใคร
วันนี้เรากิน early lunch เป็นอาหารฝรั่ง ในเมืองกีซ่า จากภัตตาคาร คริสโต มองเห็นปิรามิดชัดเจน เรากินปลาที่มีรูปร่างคล้ายปลากระบอก เป็นปลาทะเลจากทะเลแดง มีผักได้แก่มะเขือเทศ ผักดอง มีนมเปรี้ยวและแยมถั่วลิสงเป็นน้ำจิ้ม ที่แปลกที่สุดคือขนมปังชนิดปิ้ง ปิ้งกันสดๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวชม (และรับทิป วงการท่องเที่ยวของอียิปต์นี่เรื่องทิปเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ) ผมให้คะแนนขนมปัง (เรียกชื่อว่า Peta Bread) ว่าแปลกและอร่อยที่สุด ส่วนอาหารเย็นเรากินกันตอนก่อน ๕ โมงเย็น เป็นอาหารจีน มีผักมาก ซึ่งเราชอบ แต่ที่ปริมาณอาหารซึ่งเป็นชุดสำหรับ ๑๐ คนนี่สิ มันเกินชีวิตที่พอเพียง เราชวนไกด์กับโชเฟอร์ ให้กินด้วยกัน เขาก็ไม่กิน เราจึงแบ่งมาพอกินกัน ๒ คน และบอกไกด์กับโชเฟอร์ให้เอากลับบ้าน เขากลับเอาไปให้พนักงานในภัตตาคารจีนนั่นเอง อาหารน่ะเป็นอาหารจีน ใช้ได้ทีเดียว แต่หน้าตาคุณผู้จัดการและพนักงานเสิร์พทั้งหมดเป็นแขกทั้งสิ้น
ไฮไลท์ของวันนี้คือ อนุสรณ์ของความเชื่อ (ศรัทธา) ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า และความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่หรือโลกหน้า นำไปสู่การสร้างสิ่งที่ถาวรสำหรับเก็บศพของฟาโรห์ และขุนนางบริวารก็มาสร้าง "ฮวงซุ้ย" เล็กๆ ไว้เพื่อแสดงความปรารถนาที่จะกลับมา (หรือกลับไป) เกิดเป็นบริวารของฟาโรห์อีก ความเชื่อระดับศรัทธา นำไปสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีและการจัดการกำลังพลสมัยโบราณ ให้สามารถสร้างปิรามิดขนาดมหึมา ใช้หินขนาดระหว่าง ๒ - ๑๕ ตัน จำนวนกว่า ๒ ล้านก้อนสร้าง "ปิรามิดใหญ่" คือปิรามิด คูฟู (หรือ คีออฟส์) ที่สูง ๑๔๖ เมตรได้
เป็นโครงสร้างหินที่แสดงความเชื่อเรื่องเทพเจ้าคล้ายปราสาทนครวัด และปราสาทขอมอื่นๆ และเป็นเครื่องมือเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า เช่นเดียวกัน โดยที่ปราสาทขอมเกิดในพื้นที่ป่าดงดิบ แต่ที่นี่เกิดในทะเลทราย แต่คิดแบบนี้อาจจะผิด เพราะสมัย ๔ - ๕ พันปีก่อนบริเวณนี้ต้องไม่เหมือนที่เราเห็นนี้แน่ เขาสันนิษฐานว่า ในสมัยโบราณแม่น้ำไนล์คงจะไหลผ่านลานหน้าอาคารพิธี (Mochari Temple) ซึ่งเป็นที่ทำศพของฟาโรห์ให้เป็นมัมมี่ แล้วจึงนำไปบรรจุไว้ในห้องสุสานภายในปิรามิด หินแกรนิตที่เป็นเสาของ Mochari Temple หนัก ๒๕ ตัน วิธีทำมัมมี่คร่าวๆ คือแหย่ทางจมูก เอาสมองออก (แหย่จนเหลว) ผ่าท้องด้านซ้าย เอาเครื่องในออก (เก็บในโถ ๔ ใบ) เอาเกลือยัดเข้าท้องเพื่อดูดน้ำออก ใช้เวลา ๔๐ - ๗๐ วันเพื่อให้เนื้อแห้งจริงๆ มัมมี่จึงจะทน
เราได้เข้าใจเทคโนโลยีวิธีตัดหินให้ได้ขนาดต่างๆ กัน รูปร่างเป็นลูกบาศก์ ไม่ว่าจะเป็นหินปูน (limestone) ซึ่งตัดง่ายกว่า และหินแกรนิต ซึ่งแข็ง ตัดยากกว่ามาก แต่เทคโนโลยีโบราณตัดได้เหลี่ยมมุมเข้ากับสิ่งก่อสร้างได้อย่างอัศจรรย์ คุณ ออสมาน บอกว่าใช้วิธีตอกหินเป็นระยะๆ เอาลิ่มไม้มะเดื่อตากแห้งยัดแล้วใช้น้ำหยอด ลิ่มไม่จะขยายตัวทำให้หินแยกตัวออกจากกัน
เราได้ลองมุดเข้าอุโมงค์ไปสู่ห้องโถงที่บรรจุมัมมี่ของฟาโรห์ และราชินี โดยต้องเสียค่าตั๋วคนละ ๒๕ ปอนด์อียิปต์ (หนึ่งปอนด์เท่ากับ ๕.๗๘๕ บาท) คุณออสมานอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับอุโมงค์ และบอกว่าถ้าขาไม่ดีก็ไม่ควรลงไป เราตัดสินใจลองเพื่อเป็นประสบการณ์ จนลงไปถึงห้องโถง ที่เดินตัวตรงได้ หลังจากนั้นต้องมุดขึ้น และต้องไปอีกไกลจึงจะถึงห้องโถงใหญ่ เราตัดสินใจกลับ ยอมรับว่าแก่แล้ว ออมแรงไว้เที่ยวอีก ๓ วันอย่างราบรื่นดีกว่า
คุณออสมานเป็นนักถ่ายรูปและสนใจโบราณคดี ให้รายละเอียดต่างๆ ดีมาก ซึ่งถูกใจผมมาก ส่วนที่ถ่ายรูปเก่ง ถูกใจหมออมรา เราได้ถ่ายรูปหิ้วปิรามิดไว้ทั้งสองมือ และใช้มือประคองและหิ้วปิรามิดพร้อมๆ กัน ถ่ายรูปยืนจูบสฟิงซ์ เป็นต้น แต่ที่เราไม่ชอบคือแกชอบพาเราไปนั่งกลางแดดเพื่ออธิบายเรื่องราวรายละเอียดของโบราณคดี แกเตรียมเอกสารและรูปใส่แฟ้มอย่างดีมาอธิบายให้เราฟังเข้าใจง่าย
เรานั่งรถขึ้นไปตรงจุดสูงสุดของที่ราบสูงกีซ่า เพื่อชมทิวทัศน์และถ่ายรูปกับปิรามิดทั้ง ๓ หมออมราบอกว่าคล้ายเจดีย์สามองค์ หลังจากนั้นจึงไปขี่อูฐ พอไปถึงบริเวณก็ได้กลิ่นขี้อูฐโชยมา เขาให้อูฐหมอบลงไปทั้งขาหน้าและขาหลัง พอเราขึ้นขี่คร่อมและจับไม้ที่อยู่หน้าอานดีแล้วเขาบอกให้อูฐลุกขึ้น อูฐจะเอาขาหลังขึ้นก่อน ทำให้ตัวเราโย้ไปข้างหน้าอย่างแรง ถ้าไม่จับไม้ให้แน่นอาจคะมำตกได้ แล้วพออูฐยกขาหน้าขึ้นเราก็นั่งตรงได้ พออูฐเดิน ขามันแกว่งไปทางโน้นที ทางนี้ที เราต้องทำตัวและเอวให้อ่อนไปตามแรงเหวี่ยงก็จะนั่งสบาย แต่หลังอูฐสูงกว่า ๒ เมตร มันสูงสำหรับคนกลัวความสูงอย่างผม จึงไม่ถือว่านั่งสบาย ไปได้ไม่นานเราก็ขอกลับ ก่อนกลับเขาถ่ายรูปให้เป็นที่ระลึก ที่จริงเขามีโควต้าเวลา ๑๕ นาทีแต่เรานั่งสัก ๕ นาทีเท่านั้น โดยนั่งคนละตัวกับหมออมรา พอเราลงเรียบร้อยคนจูงอูฐขอทิป ๕ เหรียญสหรัฐ เราได้รับคำแนะนำให้ทิป ๑ เหรียญ เขาไม่ยอมจะเอา ๒ จนมีผู้ใหญ่เข้ามาบอกว่า ๑ เหรียญพอแล้ว เราจึงรอดมาได้ ในหนังสือนำเที่ยวบอกอันตรายจากพวกให้เช่าอูฐขี่หลายรูปแบบ
แล้วเราไปกินข้าวเย็นที่ภัตตาคารจีนที่เมืองกีซ่านั่นเอง ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เราก็ออกเดินทางกลับโรงแรม ถึงเกือบทุ่ม
วิวถนนในไคโร รถเก่ากว่าบ้านเรา ขับไม่เป็นระเบียบกว่า
ภายในวัดคริสต์โบราณ (Coptic)
หมออมราฟังคำอธิบายภาพฝาผนังทางเข้าโบสถ์คริสต์โบราณ
ภายในโบสถ์
ด้านหลังโบสถ์ยิว (synaqogue) บันไดที่เห็นใช้สำหรับผู้หญิงเข้าโบสถ์ทางด้านหลัง ไปนั่งอยู่ชั้นบน
ระหว่างทางไปเมืองกีเซห์ บ้านสร้างใหม่ดูเหมือนสร้างไม่เสร็จ รอต่อชั้นบนได้เสมอ การวางตำแหน่งอาคารสับสนไม่เป็นระเบียบ
เห็นปิรามิด ๓ แท่งอยู่ลิบๆ โดยมีสวนผักเป็นฉากหน้า
บ้านเรือนริมถนนทางไปปิรามิดที่กีซ่า
ปีนปิรามิด คีออปส์ และถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
ถ่ายจากเนินกีซ่า
สฟิงซ์แห่งเมืองกีซ่า สลักจากหินทรายก้อนเดียว
ภายในร้านขายภาพวาดจากกระดาษปาปิรัส
วิจารณ์ พานิช
๘ มิ.ย. ๕๐
โรงแรมโมเวนพิค เฮลิโอโปลิส ไคโร
อียิปต์เป็นที่ที่ใครก็ควรไปสักครั้งในชีวิตครับ แน่นอนว่าไปดูปิรามิดและสฟิงซ์นั่นแหละ ไปดูใกล้ๆแล้วจะงง ไปดูรูปสลักฟาโรห์ขนาดมหึที่ไหนสักที่ แล้วจะอึ้ง ความงงกับความอึ้งนั้นก็คุ้มค่าสตางค์ที่เสียไปแล้วครับ จะได้คิดหรือปิ๊งอะไรก้แล้วแต่คน นอกจากนี้จะได้เห็นบ้านเมืองที่เหมือนกรุงเทพฯ ความเจริญทางวัตถุและความสกปรกในแต่ละหย่อมเคียงคู่กันไป
เที่ยวสุเหร่าไคโรทุกแห่ง พิพิธภัณฑ์ไคโร และเมืองโบราณ เช่น มหาปิรามิด สฟิงซ์ เมมฟิส ซัคคาร่า ไม่แพง ที่เหล่านี้ห่างจากเมืองไม่มาก เช่าแท็กซี่ไปได้ทั้งนั้น ถ้ากลัวก็หาทัวร์หน้าโรงแรมไป การกินถ้าไม่ชอบกินของของเขาก็เตรียมไปจากบ้านเรา ซื้อเพิ่มจากร้านชำเล็กๆข้างโรงแรม เที่ยวทั้งวันให้เตรียมช็อคโกแล็ต แอปเปิล และน้ำเปล่า สะดวกที่สุด จิบน้ำทีละน้อยเป็นระยะๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องหาห้องน้ำ เดินเล่นแม่น้ำไนล์ดูอาทิตย์ตกฟรี ไม่เสียตังค์ ทางเดินริมน้ำสะดวกสบาย เป็นทางเดินสาธารณะไม่มีร้านค้าหรือตึกบังสายตา แม่น้ำสะอาดช่วงผ่านไคโรหรือที่ผมพักสะอาดจนน่าแปลกใจทั้งที่มีคน 20 ล้านคนในไคโร ทำได้ไง